รีวิว ‘ มาเก๊า ’ 4 วัน 21 สถานที่ ครบทั้งกิน เที่ยว ถ่ายรูป!

มาแล้ววววแม่ ทริปเบาๆกลางปี

สำหรับคนที่มีเวลาน้อย แต่อยากเที่ยว

Bliss Out There เราจัดให้แบบเน้นๆ เต็มๆ

ใครว่ามาเก๊าเที่ยววันเดียวหมด สำหรับเรา 3 วัน

ยังไม่พอจริงๆ เพราะนอกจากแลนด์มาร์คสำคัญๆ

อย่างซากโบสถ์เซนต์ปอล์ จตุรัสเซนาโด้

หอไอเฟลจำลอง ก็ยังมีร้านอาหารอร่อยๆ

และคาเฟ่คูลๆ ที่เป็น hidden gem ของมาเก๊าอีกเพียบ

ทริปนี้ถ่ายรูปออกมาฮิปสุดอ่ะ บอกเลยยยย!!

ใครที่ติดภาพว่ามาเก๊า มีแต่คาสิโนเท่านั้น

อ่านรีวิวนี้แล้ว ภาพนั้นจะหายไปเลยค่ะรับรอง!

รายละเอียดของสถานที่ต่างๆในทริป, ค่าใช้จ่าย,

ที่พัก, การเดินทาง ฯลฯ รวมมาให้หมดแล้ว

เลื่อนลงไปอ่านกันเล้ยยยยยยยยย :- D

 

 

ค่าใช้จ่าย **ต่อคน** ( ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน )

พวกค่าใช้จ่ายในทริป จะใช้หน่วยเป็น MOP / ปาตากามาเก๊านะคะ

ตอนนี้ค่าเงินจะอยู่ที่ประมาณ 4.39 บ. = 1 MOP

1. ค่า simcard 4G LTE ใช้ได้ 4 วัน 395 บ.

2. ค่าที่พัก

– Ole London Hotel 1 ห้อง 2 คืน 8,250 บ. ตกคนละ 4,125 บ.

( บวกเพิ่มคนละ 175 บ. ได้อาหารเช้า ทุกวันที่เข้าพัก )

– Hou Cheng Building (Airbnb) 1 ห้อง 1 คืน 2,830 บ. ตกคนละ 1,415 บ.

3. ค่าเดินทางตลอดทริป 316 บ. ( เรานั่งรถบัสเป็นหลัก

ซึ่งรถบัสทุกเบอร์จะราคา 26 บ. ตลอดสาย )

4. ค่าคาเฟ่ 5 ร้าน 1,369 บ.

5. ค่าอาหาร + น้ำตลอดทริป ( นอกจากคาเฟ่ ) 2,380 บ.

6. ค่าตั๋วเครื่องบิน สายการบิน AirAsia ไปกลับ กรุงเทพฯ-มาเก๊า 4,630 บ.

ซึ่งราคาตั๋วจะขึ้นกับช่วงเวลาที่บิน แต่จะอยู่ที่ประมาณ 4,600-5,800 บ.

ถ้าใครมือไวอาจจะได้ถึงประมาณ 4,000 บ. เลย

—— รวม 3,333 MOP / 14,630 บ. ——

 

 

ทริปนี้เราเดินทางกับ AirAsia บินตรงดอนเมือง – มาเก๊า

ซึ่งมีเที่ยวบินถึง 4 เที่ยวบินต่อวัน ต่างจังหวัดก็สะดวก

เพราะมีบินตรงจากทั้งภูเก็ต กระบี่ อู่ตะเภา เชียงใหม่

และใหม่ล่าสุด เชียงราย ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชม.ครึ่งเอง

ตอนไปถึงสนามบินพี่พนักงานก็ Check-in เร็วเว่อร์

โหลดกระเป๋าได้ตั้ง 20 กก. แถมบนเครื่องก็มีอาหารให้ทาน

มาพร้อมกับแพ็กสุดคุ้ม ถูกว่าจองแยกสูงสุด 20%

กดซื้อพร้อมตอนจองตั๋วเลย เลือกที่นั่งได้

จะนั่งติดหน้าต่าง ติดเพื่อนก็ได้ตามใจ

แถมได้ความคุ้มครองการเดินทางด้วย

 

 

อันนี้เป็นเมนูข้าวพะแนงไก่+ไข่เจียว ค่ะ

อร่อยเกินความคาดหวังไปอี้กกก

ไม่นึกว่าอาหารบนเครื่องจะเริ่ดได้เบอร์นี้

คือหอมเกรงใจคนข้างๆสุด ฮ่าๆๆ

 

 

เพื่อนๆคนไหนจะกำลังมองหาเที่ยวบินไปมาเก๊า

ขอแนะนำ Air Asia เลย เพราะสายการบินเค้าดูแลดี

ราคาไม่แพง แถมตรงเวลามากจริงๆ

สามารถกดจองตั๋วทริปหน้าได้ที่เว็บ Air Asia

https://www.airasia.com/th/th ได้เลยจ้าาา

 

DAY 1 : Macau Fisherman’s Wharf / Lai Kei Sorvetes /

Single Origin Cafe / Tap Seac Gallery / Cafe Toff

 

แถ๊นนนน วันแรกของทริปมาเก๊า หลังจากที่แลนด์ดิ้งเสร็จ

ทางเราก็บึ่งไปขึ้นรถบัสสาย AP1 จากสนามบินมาเก๊า

ไปลงที่ ป้าย Avenida Da Amizade / Flyover

เดินต่อไปอีกประมาณ 3 นาทีก็ถึง

Macau Fisherman’s Wharf แล้ววว

 

 

ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของมาเก๊าค่ะ

ห้อมล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก

และตะวันออก ขนาดบิ๊กบึ้ม ซึ่งส่วนหลักๆที่คนนิยม

มาถ่ายรูปกันคือบริเวณอาคารสไตล์อียิปโบราณ

แล้วก็บริเวณโคลอสเซียมจำลอง ซึ่งอลังการมากกกก

 

 

เสียดายที่เค้าไม่อนุญาตให้เข้าไปถ่ายข้างใน

แต่จริงๆถ่ายแค่ข้างนอกก็ได้ภาพเก๋ๆอัพไอจีได้เป็นเดือนแล้ว

อ้อ นอกจากบริเวณที่ถ่ายรูปแล้ว ยังมีโซน

ศูนย์อาหารให้เข้าไปนั่งพัก แถมมีตึกสีพาสเทล

ถ่ายรูปได้น่ารักๆใสๆด้วยนะ ใครที่สนใจมาที่นี่

ขอบอกข่าวดีว่า เค้าเปิดทำการทุกวันทั้ง 24 ชั่วโมง

แบบไม่เว้นวันหยุด แถมเข้าฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายอีกต่างหาก!

ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ไปดูได้ที่

http://www.fishermanswharf.com.mo/en/

 

 

หลังจากนั้นเราก็ไปขึ้นบัสที่ป้ายเดิม

แล้วไปลงที่สถานี Almeida Ribeiro

เพื่อเอาของไปเก็บที่โรงแรม Ole London Hotel

ที่พักของเรา 2 คืนแรกค่ะ ที่นี่เป็นโรงแรม 3 ดาว

ที่คนไทยนิยมไปพักกัน เพราะว่าดีไซน์สมัยใหม่

ราคาไม่แพง แถมอยู่กลางเมือง เดินทางง่ายสุดๆ

ร้านอาหารก็เยอะ ไม่ต้องกลัวเรื่องหิวตอนดึกเลย ฮ่าๆ

 

 

ที่นี่จะตกแต่งสไตล์โมเดิร์น เน้นสีโทนร้อน

ให้ฟีลแบบหนัง Wes Anderson ห้องพักมี

อยู่แบบเดียว และมีจำนวนไม่กี่ห้องนัก

ใครจะไป ต้องเผื่อเวลาจองล่วงหน้านิดนึงงง

 

 

ภายในห้องพักและห้องน้ำ ไม่ได้มีของประดับ

ตกแต่งอะไรมากนัก ให้อารมณ์เหมือนอยู่หอเบาๆ

แต่ก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบนะ

ทั้งโทรศัพท์ เครื่องต้มน้ำร้อน ไดร์เป่าผม

ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 1,900-3,100 บ. ต่อคืน

และจะมีบวกค่าอาหารเช้าเพิ่มอีกคนละ 175 บ.

เพื่อนๆสามารถเลือกซื้อหรือจะไม่ซื้อก็ได้

โดยปกติที่นี่จะสามารถ Check-in ได้ในเวลา 14:00 น.

และ Check-out ได้ภายในเวลาไม่เกิน 12:00 น.

ใครสนใจก็เข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้น้า

http://ole-london.bookmacauhotels.com/

 

 

หลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จก็ออกไปเที่ยวได้

อย่างสบายตัวแล้ววว ต่อมา ที่ที่จะไปกันก็คือ

ร้านไอติมที่ชื่อว่า Lai Kei Sorvetes ค้าาา

เราสามารถเดินจากโรงแรมไปเลยยย ใช้เวลา

ประมาณ 16 นาที เหมือนจะไกล แต่ที่จริง

เดินแบบเพลินๆ ดูบ้านเมือง แวะถ่ายรูปตึกชิคๆ

ระหว่างทาง แป๊บเดียวถึงแล้ว

 

 

ภายในร้านจะเป็นสไตล์ย้อนยุค ที่ถ่ายรูปได้

ออกมาวินเทจแบบเก๋ๆ ทุกมุม เมนูแนะนำคือ

Vanilla Ice cream ราคา 57 บ. และ

Fruit Sundae ราคา 114 บ. เห็นแบบนี้

ก็ถ้วยใหญ่อยู่นะ ไอติมของเค้าคือเนื้อแบบ

นุ่ม หอมมาก ไม่เหมือนไอติมปกติที่เราเคยทานเลย

ส่วนผลไม้ก็สด เดินมาเหนื่อยๆนี่สดชื่น

ใครเป็นสายไอติมต้องมาลองนะ

ที่นี่เปิดทุกวัน เวลา 12:00 – 19:00 น. นะจ๊า

 

 

จากร้านไอติมนี้ เดินไปไม่ถึง 2 นาที

เราจะเจอกับ Single Origin Café

คาเฟ่สุดชิคที่คนมาเก๊าเลิฟมากกก

เป็นคาเฟ่เล็กๆตกแต่งมินิมอล เน้นสีขาว

เรียบง่าย สไตล์ดี คนเยอะเกือบตลอดเวลา

แต่เค้าใช้พื้นที่ได้คุ้มค่ามากๆ หมดห่วงเรื่องไม่มีโต๊ะ

เพราะสามารถขึ้นไปนั่งข้างบนได้จ้าาา

 

 

วันนี้เราสั่งกาแฟเมนู Flat White Coffee

ในราคา 184 บ . กับ Duck Toast ราคา 132 บ.

ที่เค้าบอกว่าเป็นเมนูของว่างที่ทางร้านขายดีที่สุด

กาแฟดีย์จริง หอมมากด้วย แล้วโทสต์ก็คือว๊าวสุด

ตอนแรกยังกังวลอยู่ว่าทานกับกาแฟแล้วจะเข้ากันรึเปล่า

แต่พอได้ทานแล้วมันอร่อยลื๊มมมมม มากันนะ!

เค้าเปิดทุกวัน เวลา 12:00 – 20:00 น.

เข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เพจของร้านเล้ย

http://www.facebook.com/singleorigincoffee/

 

 

เติมพลังกันอิ่มแล้วก็ได้เวลาลุยต่อ

เราใช้เวลาประมาณ 5 นาที

เดินจากคาเฟ่ ไปชมงานศิลปะกันที่

Tap Seac Gallery แต่ระหว่างทางก็

แวะถ่ายรูปกันซักนิด อาคารในเมืองนี้

สวยมากจะบอกว่ายุโรปมากก็ไม่เชิง

 

 

และแล้วก็มาถึง Gallery กันซักที

ช่วงนี้ที่แกลเลอรี่ มีจัดงาน Contemporary Art

ที่ผลงานของศิลปินทั่วโลก ในคอนเซปต์

Printmaking ซึ่งจัดปีนี้เป็นปีที่ 3 แล้ววว

คนที่สนใจงานศิลปะแนวนี้ น่าจะชอบน้า

บรรยากาศภายในแกลเลอรี่ค่อนข้างสงบ

และเคร่งครัดเรื่องความปลอดภัยมาก

มีพี่ยามคอยเดินคุมความเรียบร้อยอยู่รอบๆอาคารเลย

ที่นี่เปิดทุกวัน เวลา 10:00 – 19:00 น. ไม่มีค่าเข้า

รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ http://www.icm.gov.mo/TS/indexE.asp

 

 

ความโชคดีคือทางเรามาถูกวันมาก

ด้านหน้าแกลเลอรี่ มีจัดลานขายของ Handmade

สไตล์ตลาดนัดด้วย ของน่ารัก กะจุ๊กกะจิ๊กเต็มไปหมดดด

ฝนเริ่มตกปรอยๆ แต่คนที่นี่ก็ยังคึกคักกันไม่สร่างเด้อออ

มีซุ้มนึงน่าสนใจมาก เค้าทำเป็นกำแพง Blackboard ไว้

ให้คนมาวาดรูปโชว์ฝีมือกัน สร้างสรรค์สุดๆ

 

 

ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆแล้ว สงสัยจะต้องหาที่หลบฝน

ทางเราเลยไปพักพิงที่ร้าน Cafe Toff ค่ะ

 

 

คาเฟ่นี้เป็นคาเฟ่สไตล์ Cosy อบอุ่น แบบบ้านๆ

เค้าดังเรื่อง Waffles เราก็ไม่รอช้า จัดไปกับเมนู

Potato Hot Milk ราคา 168 บ.

Waffles Macau Style 240 บ.

ความเริ่ดคือ วาฟเฟิลเค้าไม่ใช่อันจิ๋วๆนะ

เค้ามาแบบสองชิ้นใหญ่ๆ ทานสองคนได้สบาย

นอกจากนี้ในร้านยังมีขายของเล็กๆน้อยๆด้วย

อย่างพวก เมล็ดกาแฟ ชา กรอบแว่นตายังมีเลยนะเอ้อ

คาเฟ่นี้เปิดทุกวัน เวลา 11:30 – 21:00 น.

นี่ลิงก์จ้า http://www.facebook.com/toffcafe/

 

 

เริ่มเย็นแล้ว ก่อนกลับที่พักจะต้องเดินผ่าน

ถนนแห่งความสุข หรือที่ชื่อว่า Rua da Felicidade

ซึ่งเป็นถนนที่ถูกใช้ในการถ่ายหนังอยู่บ่อยๆ

และทางเราก็ตั้งใจว่าจะต้องแวะถ่ายรูปแสงสลัว

ตามข้างทางแบบหนังฮ่องกง สไตล์หว่องกาไวให้ได้

แล้วเราก็ไม่ผิดหวัง เพราะว่ามันสวยมาก

 

 

แล้วก็หันไปเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนึง

ดู Local มากๆ เพราะแทบไม่มีภาษาอังกฤษ

กำกับเลย แถมด้วยคนในร้านมีแต่คนพื้นที่

เลยต้องเข้าไปลองซักหน่อย!

 

 

ร้านนี้จะขายแต่ก๋วยเตี๋ยวที่เป็นเส้นอุด้ง

เมนูแนะนำจะเป็นอุด้งเนื้อ 88 บ.

แต่ใครที่กลัวทานชามเดียวจะไม่อิ่ม

ทางร้านเขาก็มีขายเป็น Set อุด้งเนื้อ

พริกไทยดำ+เกี๊ยวผัก 114 บ.

ราคาดีต่อใจ แถมอร่อยมากกกก

ใครที่อยากไปตามรอยลองกดดูพิกัดร้านได้ที่

https://goo.gl/maps/T1ZARFYPWb5sezXG7

 

 

DAY 2 : Pace Coffee / Portuguese Street / Ruin of St.Paul’s /

A Porta Da Arte / Senado Square / Camoes Garden /

Chan Kong Kei Roast Duck / Nam Van Lake

 

วันนี้เราไปจิบกาแฟยามเช้ากันที่ Pace Coffee

เดินจากโรงแรมไปแค่ 8 นาทีก็ถึงแล้ววววว เย้

 

 

ร้าน Pace Coffee เป็นร้านกาแฟสไตล์มินิมอล

ที่ไปสุดทางมากสุดเท่าที่เห็นมาในมาเก๊า

คือเค้าใช้สีขาวทั้งร้านจริงๆ กรอบประตูก็ไม้

เก้าอี้ก็ไม้ และยังมีต้นไม้ตกแต่งในร้านเบาๆ

ส่วนเมนูรับเช้าวันที่สองของเราก็คือ

Hot Latte 96 บ. และ Blueberry Cake 132 บ.

ลาเต้ที่นี่กลมกล่อมมาก ส่วนบลูเบอร์รี่เค้กก็นุ่มสุดดด

เสียดายที่ชิ้นเล็กไปหน่อย แต่เรื่องดีไซน์ต้องยอมเค้าจริงๆ

 

 

ถ่ายรูปมุมไหนก็ฮิป ลงไอจีได้ถึงปีหน้า

ร้านเค้าเปิดทุกวัน 11:00 – 19:00 น. น้า

 

 

จากที่ Pace Coffee เราแค่เดินข้ามถนนไป

ก็จะเป็น Portuguese Street แล้ว

ซึ่งถนนสายโปรตุเกสนี้ เป็นสตรีทอาร์ตของมาเก๊า

ตลอดทางถนนถูกพ่นด้วยสีสเปรย์

และตกแต่ง โดยกราฟฟิกตี้ฝีมือเจ๋งๆทั้งนั้น

อย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวเลย วัยรุ่นมาเก๊าเค้ายั

มาโพสต์ท่าถ่ายรูปวนไป เพราะฉะนั้น เราพลาดไม่ได้นะ!

 

 

ผนังตรงนี้ก็คือน่ารักโพดๆ

ทนไม่ไหว ขอแชะด้วยคนจ้าาา

 

 

เดินข้ามตึกไปหนึ่งบล็อคก็ถึงจุดไฮไลท์

ไม่ว่าใครที่ไปมาเก๊า จะต้องมาที่นี่

Ruin of St.Paul’s หรือที่รู้จักกันในชื่อ

ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล เป็นโบสถ์ที่เคย

ถูกไฟไหม้มาแล้วถึง 3 รอบ เลยเหลือแค่กำแพง

ทางเข้าโบสถ์ด้านหน้าเท่านั้น ขอแนะนำว่า

ให้มาวันธรรมดานะ เพราะคนเยอะม๊ากกกก

ส่วนเวลาทำการ เค้าเปิดให้ชมฟรีทุกวัน

ตอน 09:00 – 18:00 น. นะจ๊ะ

ข้อมูลอื่นๆของที่นี่ สามารถไปดูเพิ่มเติมได้ที่

http://www.visitourchina.com/macao/attraction/ruins-of-st-paul.html

 

 

เริ่มหิวซะแล้ว เราเดินไปทานอาหารกลางวัน

ที่ร้านเกาเหลาสไตล์ Local แถวนั้นกันอีกเช่นเคย

มื้อนี้ทางเราสั่งเป็นเมนู ข้าวแกงกะหรี่เนื้อตุ๋น

จานละ 123 บ. ถูกและดีที่แท้จริง เนื้อเคี่ยวจนนุ่มมากๆ

เอ็นใสแบบเน้นๆ คอเนื้อวัวต้องกรี๊ดแหละ

ส่วนพิกัดตรงนี้ตามกันไปได้ที่

https://goo.gl/maps/Q6Xh5PzFqiBoY45z9

 

 

ทานอาหารหลักเสร็จ เราก็ต้องต่อด้วยของหวานนนน

ที่ร้าน A Porta Da Arte เค้าแปลงร่างห้องแถวให้เป็น

เป็น Arts & Crafts Cafe สุดเก๋ ตกแต่งสไตล์ Old House

ใช้อิฐสีน้ำตาลเข้มกุผนังทุกด้าน มีโคมไฟเมฆห้อยเป็นเอกลักษณ์

ชั้น 1-2 เป็นคาเฟ่ มีขายพวกกิฟท์ช็อป เครื่องประดับ

Related Post

โปสการ์ดขาย และ มีหนังสือสารพัดประเภทไว้ให้อ่านฟรี

ส่วนชั้น 3-4 เป็นร้านขาย Jewelryเริ่ดๆ

เมนูของเที่ยงนี้ได้แก่ Oat Milk ราคา 154 บ.

Passion Fruit Cheese Cake ราคา 175 บ.

ขอบอกว่าชีสเค้กเสาวรสเค้าฟินมาก ฮือ

 

 

ใครที่มาจะมาทานร้านนี้

เค้าเปิดทุกวัน 11:00 – 20:00 น. เลยน้า

ไปดูรูปและพิกัดเพิ่มเติมได้ที่หน้าเพจเลย

WWW.FACEBOOK.COM/MACAU.ARTDOOR/

 

 

อิ่มหนำสำราญกันแล้ว เราสามารถเดินย่อย

อาหารกันพลางๆ ไปจนถึงอีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญ

ชื่อว่า Senado Square หรือจตุรัสเซนาโด้

ที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอ้งงง

 

 

ที่นี่เป็นย่านฮ็อตฮิตของมาเก๊าเลยมีทั้ง

สถาปัตยกรรมสไตล์โปรตุเกสผสมผสานกับ

วัฒนธรรมจีนให้เที่ยวชม รายล้อมไปด้วยร้านค้า

ตึกรามบ้านช่อง และ โบสถ์สไตล์ยุโรปที่ชื่อว่า

โบสถ์เซนต์ดอมินิกด้วยยย

 

 

ข้างนอกยังสวยขนาดนี้

เข้าไปดูข้างในกันเร๊วววววว

ตกแต่งแบบโปรตุเกสและสเปน

คนที่เข้าชมจะต้องถอดหมวก

และห้ามส่งเสียงดัง เพื่อเป็นการให้เกียรติ

สถานที่ด้วย ศักดิ์สิทธิ์สุดๆไปเลย

โบสถ์นี้เปิดให้เข้าชมฟรี ทุกวัน

เวลา 10:00 – 18:00 น. เลยค่าาา

รายละเอียดประวัติความเป็นมาสามารถดูได้ที่

http://www.visitourchina.com/macao/attraction/st-dominics-church.html

 

 

เดินรอบจตุรัสเซนาโด้แล้ว ไปเปลี่ยนบรรยากาศ

กันบ้างดีกว่า ต่อไปเราจะขึ้นบัสตรงด้านหน้าถนน

เพื่อไป Camoes Garden กัน โดยนั่งรถไปลงที่ป้าย

Rua Da Ribeira Do Patane ก็ถึงสวนคาโมสแล้ววว

สวนคาโมส เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในมาเก๊า

ตกแต่งตามฮวงจุ้ยของจีน ประดับด้วยต้นไทร

อายุหลายร้อยปีให้ความร่มรื่นอยู่ทั่วสวน

ด้านหน้ามีน้ำพุขนาดใหญ่ ถ้าเดินเข้าไปเรื่อยๆ

จะเจอบันได สามารถขึ้นไปดูวิวเมืองจากข้างบนได้

สวนคาโมสเปิดทุกวัน เวลา 06:00 – 22:00 น.

ไม่เสียค่าเข้าเช่นเคยเด้ออ

 

 

ที่นี่จะมีผู้สูงอายุเข้ามาออกกำลังกาย

พบปะ พูดคุย กันค่อนข้างเยอะ

ถือว่าเป็นภาพที่น่ารักมากๆ : )

 

 

ถึงเวลาของมื้อเย็นที่รอคอยแล้ว

เราจะพาทุกคนไปร้านข้าวหน้าเป็ด

ชื่อเด็ดชื่อดัง ของที่มาเก๊า โดยนั่งบัสจากหน้าสวนคาโมส

ไปลงที่สถานี Avenida Do Infante D. Henrique

แล้วเดินเข้าซอยไปที่ ร้าน Chan Kong Kei

Roast Duck (ชานคองเก)

 

 

ใครที่ตามรอยเราไป สังเกตป้ายนี้ไว้น้า

แต่หน้าร้านก็จะมีชื่อบอกไว้อีกทีจ้า

ร้านนี้เป็นร้านค่อนข้างใหญ่แต่ถึงจะมีที่นั่งเหลือเฟือ

คนก็เยอะอยู่ดี ถ้าตั้งใจจะมาทานเป็นมื้อเย็น

จะต้องทำใจนิดนึง เพราะเราอาจจะต้องนั่งร่วมโต๊ะ

กับคนอื่น… อ่ะ! ไม่รอช้า สั่งมาทานกันดีกว่า

 

 

และเมนูที่แน่นอนก็คือข้าวหน้าเป็ด

ในราคา 167 บ. แต่ถ้าใครอยากจะทานร้อนๆ

ก็สามารถสั่งก๋วยเตี๋ยวเป็ดมาได้ ราคา 167 บ.

เท่ากันเลย อิ่มๆ จุกๆไปจ่ะแม่

เค้าเปิดทุกวัน เวลา 09:00 – 01:00 น.

ถ้าดึกๆหิว ก็มาทานกันน้าาา

 

 

สุดท้ายของวันนี้!! เรานั่งบัสไปลงที่สถานี

Nam Van Lake เพื่อดูโชว์แสง สี จากตึกต่างๆ

และโชว์เปิดหมวกที่ริมทะเลสาบ แต่โชคร้ายที่

วันนั้นฝนดันตกลงมาหนักมากก ทำให้ไม่มี

การแสดงโชว์อะไรเลย ส่วนแสง สี ก็ถูกหมอก

และพายุฝนบังหมด ฮืออออออออ รูปที่ออกมาก็

ได้ฟีลเหงาๆไปอีกแบบ ไว้กลับมาแก้ตัวจ้า : P

 

 

DAY 3 : A Lorcha / Ama Temple / Seng Cheong

 

เช้านี้เรา Check-out ออกจาก Ole London Hotel

แต่ยังคงฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม เพราะต้องไปตะลุย

แลนด์มาร์กอีกสองจุด ก่อนจะข้ามเกาะไปฝั่งไทปาค่ะ

เราเริ่มเดินทางโดยบัสจากหน้าโรงแรม ไปลงที่

สถานี A-MA Temple แต่ก่อนจะเดินขึ้นไปไหว้พระ

ที่วัดอาม่ากองทัพจะต้องเดินด้วยท้องใช่ม้าาา

ที่หน้าป้ายสถานีมีร้านอาหารที่ทางเราเล็งไว้แล้วว

ชื่อว่าร้าน A Lorcha (อะลอร์ชา) นาจา

 

 

ร้านอะลอร์ชา เป็นร้านอาหารโปรตุเกสเก่าแก่

สูตรต้นตำหรับ จากฝีมือของเชฟโปรตุเกสจริงๆ

ตอนมาถึงคือต้องยืนต่อแถวรอเข้า เพราะร้านเค้า

ดังมากๆ คนมารอเปิดร้านกันเต็มไปหมด

ภายในร้านดีไซน์ให้เหมือนกับอยู่ใต้ท้องเรือ

คือเท่มากๆ นึกว่าอยู่ยุโรปอะแกรรร๊

 


ส่วนเมนูแนะนำของที่นี่คือ

Tenderloin Steak ราคา 1,180 บ.

Spaghetti Bolognese ราคา 593 บ.

ราคาค่อนข้างเจ็บ แต่ถ้าเทียบกับ

ความอร่อย+ปริมาณ กับ ร้านอาหาร

สไตล์โปรตุเกสร้านอื่น ร้านนี้ก็ถือว่าไม่แพงค่ะ

ที่นี่เปิดทุกวัน ยกเว้นวันอังคารนะ ส่วนเวลาเปิดปิด

เค้าจะเปิดแค่ 2 ช่วงในแต่ละวัน คือช่วง 12:30 – 15:00 น.

และ 18:30 – 23:00 น. เท่านั้นเน่ออ ข้อมูลเพิ่มเติม

เข้าไปดูในเว็บไซต์หลักของร้านได้เลยที่

http://alorcha.com/en/home/

 

 

พอทานเสร็จก็ได้เวลาของสายบุญ สายธรรมะ

อย่างเราๆกันค่ะ อิอิ จากร้าน เดินไปยัง A-MA Temple

หรือที่เรียกว่า วัดอาม่า ได้เพียงไม่กี่ก้าวเองงง

 

 

มาดูกันตั้งแต่หน้าประตูเลยละกัน!

 

 

สถาปัตยกรรมภายในวัดเป็นแนวจีนโบราณ

ที่นี่จะมีจุดไหว้ และขอพรอยู่หลายจุดเลย

ซึ่งแต่ละจุดจะอยู่บนเนินเขา ต้องเดินขึ้นไปบันไดไป

ในแต่ละชั้นก็จะมีทั้งศาลเจ้า ศาลา ประตูโบราณ

สิ่งศักสิทธิ์ต่างๆที่ขึ้นชื่อเรื่องการให้พรด้านการงาน

เงินทอง และ เรื่องขอคู่ ทำให้คนต่างชาติมากมาย

บินมามาเก๊า เพื่อมาขอพรที่นี่โดยเฉพาะเลย

 

 

ในรูปด้านบนคือกังหันลมสำหรับเขียนชื่อ

และคำอธิษฐาน เพื่อความเป็นสิริมงคล

ใครที่เขียนเสร็จแล้วก็สามารถนำมาแขวน

ไว้ได้ที่บริเวณนี้ น่ารักมากๆ

 

 

เห็นแบบนี้ที่วัดก็มีมุมชิคๆเหมือนกันน้า

ได้พรแล้วยังได้รูปกลับไปอีก เอาเซ่!

เพื่อนๆสามารถมาไหว้พระที่วัดอาม่าได้ทุกวัน

ตั้งแต่เวลา 07:00 – 18:00 น. เลยจ้า

ใครที่อยากทราบประวัติของที่วัด

เข้าไปอ่านกันได้ที่

https://www.travelchinaguide.com/attraction/macau/a_ma.htm เลย

 

 

ระหว่างทางกลับโรงแรมเจอตึกน่ารัก

เลยขอแกล้งๆทำเป็นข้ามถนน

เก็บภาพคูลๆกันหน่อยนะฮ้าาา ฮี่ๆๆ

 

 

หลังจากเอากระเป๋าที่ฝากไว้กับที่พักแล้ว

เราก็ขึ้นบัสข้ามไปยังเกาะที่ชื่อว่า Taipa (ไทปา)

เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ทางตอนใต้ของมาเก๊า

ซึ่งหาที่พักได้ยากม๊ากกกมาก เพราะที่เกาะนี้

จะเน้นโรงแรม 5 ดาวเป็นที่พักหลัก

ทางเราเลยพักที่ห้องเช่าของอพาร์ตเม้นท์

ชื่อ Bloco Hoi Cheng โดยเราจองผ่าน Airbnb ค่ะ

พักในห้องรวมกับเจ้าของบ้าน ใช้ห้องน้ำร่วมกัน

แต่มีห้องนอนแยกให้ ราคารวมค่าธรรมเนียมแล้ว

อยู่ที่ประมาณ 2,830 บ. ต่อคืน ห้องพักเค้าตกแต่งเรียบง่าย

เหมือนห้องนอนบ้าน มีเครื่องอำนวยความสะดวก

ครบมากๆ ไม่แพ้โรงแรมทั่วไปเลย เข้าไปจองได้ที่

https://th.airbnb.com/rooms/23473470?adults=1&toddlers=0&guests=1&sl_alternate_dates_exclusion=true&source_impression_id=p3_1557688510_a7zuysA8ISdmwFjV&s=jj_Tmeew เลยนะค้าาา

 

เก็บของแล้ว ก็ออกไปซ่าต่อเลย

เพราะหน้าอพาร์ตเม้นท์เป็นป้ายรถบัสพอดี

เดินทางสะดวกเฟ่อรรรร์ เรานั่งรถไปลงที่สถานี

Greenville Building เพื่อทานอาหารเย็นกัน

ที่ร้านโจ๊กปู Seng Cheong! ลงบัสแล้ว

เดินมาแค่ 1 นาทีก็ถึง ไม่ต้องกลัวหลงเลย

เพราะหน้าร้านมีชื่อภาษาอังกฤษบอกไว้แย้ววว

 

 

ที่นี่เป็นร้านโจ๊กปูขนาดใหญ่ เจ้าดัง

เปิดในตึกแถว 2 ห้อง 2 ชั้น โต๊ะเพียบบบ!

ส่วนเมนูแนะนำคือ โจ๊กปู ในราคา 1,370 บ.

ที่เนื้อโจ๊กเคี่ยวจนเข้ากันกับมันปู เวลาเสิร์ฟ

เค้าจะใส่ปูมาในโจ๊กทั้งตัวเลย โดยมีถ้วยแบ่งให้

เรื่องรสชาติไม่ต้องพูดถึง เพราะใครลองชิม

ก็จะติดใจในความอร่อย แบบไม่ต้องปรุงเลย

อีกหนึ่งเมนูที่มาช่วยตัดเลี่ยน คือปลาหมึก

ชุบแป้งทอด ราคา 439 บ.

 

 

ร้านโจ๊กปู Seng Cheong เปิดทำการทุกวัน เวลา

12:00 – 24:00 น. ถ้าได้ไปไทปา ต้องมาให้ได้นะครัชชช

 

DAY 4 : Taipa Food Street / Tai Lei Loi Kei /

Lord Strow’s Bakery / The Venetian Macau / The Parisian Macao

 

วันสุดท้ายของทริปแล้วววว เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริงๆ

Check-out แล้ว เราก็ฝากกระเป๋าไว้ที่อพาร์ตเม้นท์เหมือนเดิม

และออกเดินทางโดยบัสไปลงที่ สถานี Greenville Building

เพื่อเดินตรงเข้าสู่ Taipa Food Street สวรรค์ของคนชอบกิน

 

 

ว่าแล้วก็หามื้อเช้ารองท้องกันที่ร้าน

Tai Lei Loi Kei (Pork Chop Bun)

ร้านนี้เค้าขายขนมปังหมูทอด คนต่อแถวซื้อเยอะมากกก

เมื่อซื้อเสร็จต้องไปยืนทานที่บาร์ แล้วทิ้งให้เรียบร้อย

เป็นร้านสไตล์ Self-Service ขนมปังหมูทอด 1 ชิ้น

ราคา 242 บ. ขอบอกว่าทั้งขนมปังและหมูมันชิ้นใหญ่จริงๆ

ทานคนเดียวคืออิ่มเหมือนทานข้าว

ร้านขนมปังหมูทอด เปิดขายทุกวัน 08:00 – 18:00 น.

รีบมาก่อนเย็นน้าา ช้าหมดอดนะจ๊ะ :- D

 

 

ตามสเต็ปคือต้องต่อด้วยของหวานสินะ อิอิ

เห็นใครๆที่มามาเก๊า จะต้องพูดถึง

เจ้าทาร์ตไข่ของร้าน Lord Strow’s Bakery

ว่ามันเริ่ด มันดี เราเลยต้องไปจัดมาพิสูจน์กันหน่อย

ทาร์ตไข่ที่นี่ ราคาชิ้นละ 44 บาท ใครที่อยาก

ลองทาน ลองมองหาร้าน Lord Strow’s Bakery ดูน้า

เพราะร้านนี้มีหลายสาขามาก หาไม่ยากแน่นอน

สาขาส่วนมากจะเปิดทุกวัน เวลา 10:00 – 23:00 น.

รายละเอียดของร้านดูเพิ่มเติมได้ที่

https://www.lordstow.com/lord-stows-bakery/

 

 

ความดีงามของย่านนี้คือ จาก Taipa Food Street

ทุกคนสามารถเดินไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญอย่าง

The Venetian Macau ได้ โดยใช้เวลาเพียง 10 นาทีเอง

 

 

เดินเพลินๆแป๊บเดียว ก็เห็นตึกใหญ่ๆที่เขียนว่า

Venetian แล้วววว อะไรมันจะง่ายปานนั้นนนน

The Venetian Macau เป็นห้างสไตล์เวนิส

ชั้นล่างมีคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในมาเก๊าอยู่

แต่ส่วนที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวคือโซนห้าง

ที่เหมือนจำลองเวนิสมาไว้ในมาเก๊า มีน้ำไหลผ่านสะพาน

และ ทางเดิน เรียกว่าช้อปของแบรนด์เนมไป ถ่ายรูปไปด้วยค่ะ

และที่เก๋สุดคือมีบริการเรือพายกอนโดล่า (Gondola)

โดยคนที่คอยพายเรือพาเราไปวนรอบๆ

จะร้องเพลงให้ฟังด้วยยย กรี๊ดดดด

 

 

เค้าเปิดให้เข้าฟรี ทุกวัน ทั้ง 24 ชม. เลยเด้อ

ใครสะดวกเช้ามาเช้า สะดวกค่ำมาค่ำน้าาาา

นอกจากนี้เค้ายังมีห้องพัก ห้องอาหาร ยิม

ไปจนถึงกิจกรรมสนุกๆอย่างพวกคอนเสิร์ตด้วย

ยังไงก็เข้าไปจับจอง หรือ ดูข้อมูลเพิ่มเติมกันได้ที่

https://www.venetianmacao.com นะ

 

 

อีกหนึ่งที่เที่ยวชื่อดังอยู่ติดกับ The Venetian เลย

ก็คือ The Parisian Macao เป็นโรงแรม 5 ดาว

ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ทำให้สถาปัตยกรรมของเค้ามีความโดดเด่น

มีกลิ่นอายของความคลาสสิคอย่างมากก

อย่างเพดานด้านในอาคาร ก็จะมีภาพวาดแบบโรมันอยู่

 

 

เมื่อเดินออกมาภายนอกอาคาร

จะเห็นว่าทั้งบันไดและเสาแต่ละต้น

ก็ถูกออกแบบมาให้เป็นแบบโรมัน

เข้าธีมเดียวกับที่ตกแต่งภายในด้วยเช่นกัน

 

 

และที่ขาดไม่ได้ก็คือภาพหอไอเฟลจำลอง

ของที่ The Parisian แห่งนี้ค่าาา คือมันสูง ใหญ่

ดูอลังการมาก ถ้ามาเดินถ่ายรูปเล่นตอนกลางคืน

น่าจะได้ฟีลโรแมนติกไปอีกแบบนาาาา

ใครอยากมา The Parisian Macao สามารถมาได้

ทุกวัน ทุกเวลาเลย เพราะเค้าเปิดให้เข้าได้ตลอด 24 ชม.

แบบไม่มีค่าใช้จ่าย ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

https://www.parisianmacao.com ค่ะ

 

 

จบไปแล้ววววกับทริปมาเก๊า 4 วัน 21 ที่

ผ่านไปเร็วม๊ากกกกจริงๆ ไม่นึกว่าจะเก็บที่เที่ยวได้เยอะขนาดนี้

บอกเลยว่าเวลาน้อย ก็เที่ยวแบบจัดเต็มได้คุ้มสุดๆ

ทั้งแลนด์มาร์กถ่ายรูป ถนนหนทาง ร้านอาหาร ร้านคาเฟ่

ใครที่อยากเที่ยวแบบเนื้อเน้นๆ ลองไปตามรอยกันดูน้าา

เดินทางสะดวก บินมาแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ไปจองกันได้

ที่เว็บ AirAsia https://www.airasia.com/th/th โลดดด

สุดท้ายนี้ ฝากติดตามรีวิวท่องเที่ยวทั้งหมดที่

http://blissoutthere.com/ กด like เพจ Bliss Out There

แล้วกด See First ที่ https://www.facebook.com/BlissOutThere/

เจอกันทริปหน้านะค้า บ๊ายบาย <3

 

Comments

comments