วังเวียงฮิปสเตอร์โนแพลน : ไปง่าย ใช้เงินน้อย ไม่ต้องแพลน แล้วธรรมชาติสวยแบบขั้นสุดที่วังเวียง สปป.ลาว
มาอีกแล้วนะฮะสำหรับเพจ Bliss Out There พาไปเที่ยวกันอีกแล้ว คราวนี้จะพาไปเที่ยวลาวแบบไม่ต้องมีแผนอะไรทั้งนั้นค่ะ อยากไปก็ไปได้เลย ดังคำที่ว่า ชาติชายต้องบวชให้พ่อแม่สักครั้งในชีวิตฉันใด นักเดินทางก็ต้องออกไปเที่ยวโดยไม่มีแพลนสักครั้งในชีวิตฉันนั้น เราก็ฝันมานานแล้วว่าอยากจะออกเดินทางไปสักที่โดยไม่วางแผน มันคงสนุกน่าดู ทุกอย่างคงตื่นตาตื่นใจ ทำอะไรก็น่าตื่นเต้นไปหมด คงได้หลงทาง ได้ไปสถานที่แปลกๆ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ และได้สัมผัสรสชาติของคำว่าผจญภัยอย่างแท้จริง
สำหรับทริปวังเวียงเรากับเพื่อนก็ตั้งใจจะไปผจญภัยแบบไม่มีแพลน กะไปเดินเขาสโลไลฟ์ ถ่ายรูปสวยๆไปเรื่อยๆ ขอฟีลนักเดินทางแบบหนักๆ …เดี๋ยวๆๆๆๆๆๆ พอมั้ย? เลิกมั้ย? ไอความฝงความฝันอะไรนี่คิดตอนไหนปิง? นักผจญภัยสโลไลฟ์นี่คิดตอนไหน? ไอขี้โมมมมมมมมมมม้ แพลนก็ไม่มี ไอเดียที่ร่ายมาตอนแรกก็ไม่ได้อยู่ในหัวเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว ชื่อกระทู้ก็บอกอยู่ว่าโนแพลน จะมีอะไรล่ะเห้ย ใครที่มองหาข้อมูลการท่องเที่ยววังเวียงอย่างละเอียดลึกซึ้งนี่ต้องขออภัยจริงๆ เพราะทริปนี้เราเน้นเรียลค่ะเน้นเรียล อยากไปไหน ไป อยากกินไร กิน อยากทำไร ทำ อ่านให้จบแล้วนายจะรู้ว่าไปเที่ยววังเวียงเนี่ยไม่มีแพลนอะไรเลยก็ไปได้ แล้วสนุกด้วย ธรรมชาตินี่เต็มอิ่มกันไปเลย ขอแค่ใจนายได้ เตรียมเอกสารข้ามประเทศเล็กน้อย เงินอีกประมาณ2,000บาท โป๊ะเชะเหมาะเจาะจัดไป 2วัน2คืน ที่วังเวียง สปป.ลาว ตามมาเล้ยยยยยยยยยยยยยยย
ต้องบอกก่อนว่าทริปวังเวียงเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการเดินทางแบบโนแพลน 9 วัน ซึ่งเราไปกับพี่ๆเพื่อนๆน้องๆของเราทั้งหมด 12คน เป็นชาย 6 คน หญิง 6 คน ฮั่นน่ะ รู้นะคิดไรกัน ไม่มีอะไรทั้งนั้นๆๆๆๆ พี่ๆน้องๆกัน ไอบ้า… พวกเราstartที่กรุงเทพ ต่อไปอยุธยา ขึ้นไปเชียงใหม่ ไถลไปแม่ฮ่องสอน แล้วก็นอนที่อำเภอปาย รุ่งขึ้นก็ย้ายกลับไปเชียงใหม่ ยังไม่สระใจเลยไปอุดรธานี แต่ที่พีคที่สุดอยู่ตรงนี้ที่หนองคาย ที่ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เป้าหมายสูงสุดของทริปนี้คือวังเวียง สปป.ลาว ค่ะ
ถามว่าตอนนั้นมีใครรู้ข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับวังเวียงนอกจากสระบลูลากูนมั้ย ตอบเลยว่าไม่ การจองโรงแรมอะไรไม่มีทั้งนั้น ตลอด 9วัน คือไปหาเอาสดๆ บางคืนก็นอนในรถ ส่วนสาเหตุที่ไม่มีใครหาข้อมูลอะไรเลย เนื่องมาจากรุ่นพี่ที่เป็นคนรวมกลุ่มฮิปปี้อินดี้ออนทัวร์นี้ขึ้นมาเค้าได้ตั้งกฎของการเดินทางครั้งนี้ไว้เล็กๆน้อยๆ 1. “ทริปคนเถื่อน” คือชื่อกรุ๊ปไลน์ 2. จะถ่ายหนักถ่ายเบาที่ไหน ขึ้นอยู่กับพี่เค้าเป็นคนอนุญาต 3. ใครขัดขืน ไม่พอใจ หรือนำเรื่องวิชาการมีสาระเข้ามาในกรุ๊ป โดนเด้ง ใครขัดขืน ไม่พอใจ หรือนำเรื่องวิชาการมีสาระเข้ามาขณะเดินทาง พี่เค้าจะหยุดรถแล้วถีบลงจากรถทันที
เหล่าคนเถื่อนร่วมเดินทางกันมาจนถึงวันสิ้นปี (31ธันวา 2557) ตอนนั้นพวกเราอยู่กันที่จังหวัดอุดรธานีค่ะ 11ชีวิตระดมสมองกันว่าจะเอาสถานที่ไหนเป็นที่เคาท์ดาวน์
“กลับเชียงใหม่มั้ยล่ะ”
“โห ไม่เอา เชียงใหม่คนเป็นล้านอ่ะ”
“หรือกลับกรุงเทพอ่ะ”
“เห่ยยยย เอาจริงอ่ะ”
“แต่เป้าหมายเราตอนแรกคือวังเวียงนะเว่ย”
“เอาไงอ่ะ ใครอยากไปต่อยกมือเลยดีกว่า”…
วังเวียงเข้าวินไปแบบกินขาดค่ะวันนั้น ไปก็ไปเว่ย ลุยกันต่อ พวกเรานั่งรถจากอุดรธานีต่อไปหนองคายเพื่อจะข้ามไปฝั่งลาว อันนี้เป็นเรื่องเดียวที่พวกเราเตรียมตัวไปในทริปนี้ค่ะ คือเอกสารที่ต้องใช้ในการจะข้ามไปลาว ได้แก่ Passport สำเนาบัตรประชาชน รูปถ่ายขนาด 1หรือ2 นิ้วก็ได้จำนวน 2 ใบ เท่านี้พวกนายก็จะได้บัตรผ่านแดนชั่วคราว มีอายุ 3วัน 2คืน ข้ามไปเที่ยวเวียงจันทร์ได้แบบสบายสบาย
ลืมบอกไปว่าวังเวียงเป็นเมืองนึงในเวียงจันทร์ ซึ่งระยะทางจากด่านไปวังเวียงรวมแล้วประมาณ 180กิโลเมตรค่ะ ใช้เวลาในการเดินทาง 4-5ชั่วโมง ส่วนยานพาหนะที่ใช้เดินทางก็มีให้เลือกตามใจชอบเลยแถวๆก่อนทางเข้าด่าน ไม่ต้องจองล่วงหน้าใดๆทั้งสิ้น ถ้าอยากนั่งรถบัสก็ต้องไปแต่เช้า เพราะมีแค่วันละเที่ยว ตอน 8โมงครึ่ง ราคา320บาท หรือถ้าไปกันเยอะแบบเราจะเหมารถตู้ก็มีตลอดทั้งวัน ราคา 3,500บาทค่ะ ถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาลก็ไม่ถึง3,000บาท ขาไปอย่าลืมตกลงกับพี่รถตู้ด้วยว่าให้เค้ามารับวันไหน กี่โมง แลกเบอร์กันให้เรียบร้อย เพราะถ้าไม่คุยไว้เลยเดี๋ยวขากลับจะลำบากเอาค่ะ ส่วนเงินจะแลกหรือไม่แลกก็ได้เพราะที่นู่นเค้ารับเงินบาทเหมือนกัน แต่รับเฉพาะธนบัตรนะ ก่อนข้ามไปจะมีจุดให้แลกเงินอยู่ คนนึงก็แลกสัก2,000-3,000บาทก็อยู่แล้ว คิดเป็นกีบก็มีเงินคนละ 5แสนถึง7แสนห้าเลยทีเดียว รวยแล้วๆๆๆๆๆ จะทำอะไรก็ได้ๆๆๆๆ
6 โมงเย็นนิดๆเป็นเวลาที่เท้าของ11ชีวิตสัมผัสพื้นดินกลางตัวเมืองวังเวียง ถึงจะไม่สว่างมากแต่ก็พอมองเห็นภูเขาหลายๆลูกที่ล้อมเมืองนี้อยู่ ปกคลุมด้วยหมอกจางๆ บอกเลยว่าสุดดี ในใจนี่คาดหวังแล้วว่าพรุ่งนี้ตอนสว่างมันต้องสวยมากแน่ๆ ต้องถ่ายรูปกันมันส์แน่ๆ เล่นนู่นเล่นนี่กันสนุกสุดๆไปเลยแน่ๆ แต่เดี๋ยวนะ เราลืมอะไรไปรึเปล่า…คืนนี้ยังไม่มีที่นอนเล้ยยยยยยยยยย จะนอนไหนนนนนนนนนนนนนน55555555555
พวกเราเริ่มหาที่นอนด้วยการเดินเลยค่ะ เดินถามเอา แบ่งกันไปคนละซอกคนละซอย ผลปรากฏว่าเต็มทุกที่! แหงอยู่แล้วนี่มันวันที่31ธันวานะเว่ยไอบ้า หาเรื่องชัดๆเลย สนุกมั้ยล่ะทีนี้ มือถือก็ใช้เน็ตไม่ได้ เหลือบไปเห็นร้านข้าวร้านนึงที่มีป้ายติดหน้าร้านว่า Free-Wifi ฮิปสเตอร์11คนจึงพุ่งตัวเข้าไปอย่างไม่รอช้า สั่งข้าวกันเสร็จ ก็เข้าwifiหาที่นอนกันไป มือซ้ายตักข้าวเข้าปาก มือขวากดโทรศัพท์หาที่พัก ปากเคี้ยวสลับกับขอพร ขอเห๊อะ นอนไหนก็ได้ โรงแรมจิ้งหรีดก็ได้ ขอเห๊อะ หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ฟ้าก็มืดแล้วประมาณทุ่มกว่าๆ จ่ายค่าข้าวเรียบร้อยก็ออกมาเดินหาที่นอนกันต่อค่ะ ให้ข้อมูลนิดนึงสำหรับคนที่จะไปเที่ยววังเวียง พวกนายต้องทำใจเล็กน้อย ร้านอาหารที่นี่ wifiช้าระดับหอยทากทุกร้านค่ะ เมืองเค้าคงต้องการคงคอนเสปสโลไลฟ์แหละต้องเข้าใจๆๆๆ
เดินไปเรื่อยๆจนเจอโรงแรมนึง ซึ่งเต็ม…แต่ช้าก่อน ชีวิตเราไม่ได้ดาร์กขนาดนั้น คนที่โรงแรมนี้บอกชื่อและตำแหน่งโรงแรมนึงกับพวกเรา ถึงมันจะเดินเลยจากใจกลางของวังเวียงไปหน่อย (สัก300เมตร) แต่เขาบอกว่ามันน่าจะว่างอยู่ ให้พวกเรารีบไป เมื่อฟ้าลิขิตเส้นทางมา พวกเราก็ก้มหน้าก้มตาfollowค่ะ เดินไปตามทางที่เค้าบอก จนเจอตึกแถวตึกนึง
ถึงตอนนี้อยากให้ทุกคนนึกภาพตึกในหนังเรื่องหอแต๋วแตก หรือถ้าใครไม่เคยดูให้จินตนาการตึกเก่าๆ มืดๆ ดูทะมึนไปหมดถึงผนังจะทาสีขาวก็ตาม Wifi นี่ไม่ต้องพูดถึง แอร์เอออย่าหวังว่าจะมี ทีวีอย่าหวังจะได้ดู แค่ประตูล๊อกได้ก็ถือว่าบุญแล้ว ช่างเป็นที่นอนที่เหมาะกับไอพวกไม่วางแผนล่วงหน้าจริงๆ!
เมื่อก้าวเข้าไปในตึก พี่ใหญ่ของพวกเราก็ได้ทำการดีลราคากับพนักงานทั้งสองคน ซึ่งเป็นคุณลุงและคุณป้า
ผอมแห้งมากทั้งคู่…
หน้าขาวซีดทั้งคู่…
พูดเสียงเบาๆทั้งคู่…
แล้วเท้าก็ไม่ติดพื้นทั้งคู่…จะบ้าหรอ รีวิวท่องเที่ยวไม่ใช่ประสบการณ์ขนหัวลุก กลับมาๆๆๆๆๆ เพี้ยนใหญ่ละ จ่ายเงินๆๆๆๆ
พวกเรา11คน เอา3ห้องนอนค่ะ หารแล้วตกคนละ250 หรือ270บาท ไม่แน่ใจ ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจจะรีวิว แต่อยากเล่าประสบการณ์สนุกๆเนอะ ทุกวันนี้ยังไม่รู้ชื่อโรงแรมค่ะ พยายามเสิจหาทุกเว็บแล้ว ไม่มีโรงแรมหน้าตาแบบนี้อยู่ในสารระบบ แต่ดูจากการรับเงิน ทอนเงิน จดบันทึกคนเข้าพัก ซึ่งเป็นระบบแมนน่วลมากๆแล้ว เค้าก็ไม่น่าจะใช้เทคโนโลยีใดๆในการทำการตลาดแหละ5555555555555 ขณะเดินตามคุณลุงขึ้นไปห้องพักยังคิดอยู่เลยว่าเราเดินตามคนอยู่ใช่มั้ยวะ แต่พอถึงห้องแล้วก็สบายใจกันทุกคน ส่งเสียงกันใหญ่ ถอนหายใจบ้างแหละ รอดแล้วโว้ยบ้างแหละ กระโดดลงเตียงบ้างแหละ แต่สิ่งที่ทุกคนพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันคือ “อีกไม่ถึง 4ชั่วโมง วันปีใหม่แล้วนะเว่ย!!!”
อาบน้ำแต่งตัวสวยหล่อกันทุกคน เปิดประสบการณ์แรกในวังเวียงด้วยการไปเคาท์ดาวน์ที่บาร์ที่เค้าว่าฮอตฮิตที่สุดในเมืองนี้ “Sakura bar” (เอ้า ญี่ปุ่นมาไงเนี่ยเห้ย) พวกเราไปถึงประมาณ4ทุ่มนิดๆค่ะ คนนี่แน่นร้านเลย ร้านก็ไม่ได้ใหญ่ เป็นบาร์ไม้ เก้าอี้โต๊ะข้างในก็เป็นไม้ มีหลังคาเป็นทรงเหมือนบังกะโล ให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติใช้ได้ สั่งเครื่องดื่มข้างหน้าเสร็จพวกเราก็เข้าไปลุยข้างในเลย เชื่อว่าวินาทีนี้แหละที่ผู้หญิงไทยหลายๆคนตาโต ปากค้าง ลืมหายใจ ตามมาด้วยการสะกิดเพื่อนชะนีที่ไปด้วยกัน เนื่องจากผู้ดีงามมากกกกกกกกกกกกกกกกกก เกาหลีมากกกกกกกกกกกกกกกกกก เรียกได้ว่านักท่องเที่ยวเกาหลีนี่เกิน50%ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดในวังเวียง แต่ก็ว่ากันไม่ได้ฮะของอย่างงี้ แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน
ร้านนี้เปิดเพลงสนุก ใช่ สนุก อืม ก็สนุกแหละเมื่อห้าหกปีที่แล้ว55555555555555 คือเพลงมิกซ์แล้วดีนะ แต่ไม่มีเพลงใหม่กว่านี้แล้วหรอไอหนุ่ม ไอหนุ่มดีเจๆๆๆ ขอเพลงใหม่ๆมั่งไอหนุ่ม เอาเป็นว่านี่วันสิ้นปีว่ะ เพลงจะดีไม่ดี ดริ้งค์จะหวานไม่หวาน จะมีคู่หรือไม่มี ก็ต้องเต้นแล้วอ่ะ … ที่ซากูระบาพวกนายจะได้เจอคนมากหน้าหลายตา ได้เพื่อนใหม่ๆเยอะ อย่างเราคืนนั้นก็รู้จักพี่น้องชาวเยอรมัน คู่รักจากเม็กซิโก บอยแบนด์เอแบค คนเกาหลีใส่แว่น ทั้งหมดที่พูดมานี่ไม่ได้ขอคอนแทคไว้เลย แต่มีรูปด้วยกันหลายรูป งงตัวเอง555555555555 แต่มีคนไทยกลุ่มนึงที่เราขอคอนแทคไว้ เป็นแก๊งรุ่นพี่ม.เกษตร ทุกวันนี้ยังคุยกัน ติดตามชีวิตกัน เคยได้ยินมั้ยที่เค้าบอกว่า “ถ้านายเดินทางไปไหน แล้วไม่ได้เพื่อนใหม่เพิ่ม นั่นแปลว่านายไปไม่ถึงที่นั่น” เพราะฉะนั้น ได้เจอกันแล้ว ได้รู้จักกันแล้ว คีพคอนแทคไว้ค่ะ
5…
4…
3…
2…
1…HAPPY NEWYEAR…แฮปปี้นิวเยียร์…สุขสันต์วันปีใหม่…ซัมบายดีปีใหม่… ยกแก้ว ชนแก้ว กระดกดริ้งค์ กอดคอ คนเป็นร้อยมาจากที่ไหนกันมั่งก็ไม่รู้ แต่ทุกคนดูมีความสุขมากพอมาอยู่รวมกัน นี่สินะรสชาติของชีวิต คนที่มาจากคนละซีกโลกสามารถเป็นเพื่อนกันได้ ทุกคนสร้างความทรงจำให้คนอื่นได้แม้ไม่ได้ตั้งใจ ช่างเป็นภาพที่ประทับใจจริงๆ…หันไปเห็นคนเมา อ้วกแตกอยู่ข้างร้าน…โลกนี้นี่ไม่ได้มีอะไรเลยนอกจากความเมามาย สกปรกจริงๆเลยมนุษย์เนี่ย อะไรเยอะแยะไม่รู้สร้างแต่ปัญหา555555555 ขอแทรกข้อมูลนิดนึง ผับบาร์ที่นี่เที่ยงคืนก็ไม่มีเพลงแล้วนะคะ เป็นนโยบายของเค้า แต่ถ้าอยากจะนั่งต่อก็ได้เลยไม่มีปัญหา
อ้าววววววววววววว สวัสดีเช้าวันปีใหม่ค่ะทุกคน แหมะวันนี้ตื่นเช้ากันนิดนึงนะ กิจกรรมเราเยอะๆๆๆ ไม่ว่าจะเป็น…ไม่รู้ว้อยยยยยยยยยยยย ก็บอกว่าโนแพลนๆๆๆๆ มาชงอะไรล่ะ ไปลุยเอาดิ ไปปๆๆๆๆ ออกๆๆๆ รู้แค่ต้องออกเช้าก็พอแล้วจริงๆ55555555555555 แต่ก่อนจะไปลุยกันก็มาดูบ้านเมืองยามเช้าของเค้าซะหน่อย ใจกลางวังเวียงมีทั้งร้านอาหาร เกสเฮ้าส์ แล้วก็ร้านค้าเป็นตึกแถวค่ะ ร้านค้าส่วนใหญ่ขายเสื้อยืด กางเกงขาสั้น แว่นกันแดด รองเท้าแตะ
ส่วนร้านที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็คือร้านขายเบอเกอร์กับแซนวิชข้างทาง ขายมันข้างถนนเนี่ยแหละค่ะ ตั้งเตาทำกันสดๆร้อนๆ เมนูแต่ละร้านจะคล้ายๆกัน ราคาต่างกันเล็กน้อย อร่อยจนทำเอาเราสงสัยว่าตกลงเบอเกอร์กับแซนวิชนี่ต้นตำรับมันอยู่ที่วังเวียงหรอวะ55555555 หรือใครอยากจิบกาแฟกินขนมปังก็พอจะมีร้านอยู่ หลังกินอิ่มแล้วเราก็มาหาอะไรทำกันเถอะ! คิดไม่ออกใช่มั้ยว่าจะทำอะไร ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิด เพราะที่นี่มีร้านทัวร์ข้างถนน เยอะพอๆกับร้านข้าวเลยค่ะ แต่ละร้านก็จะมีโปรแกรมให้เราเลือก มีทั้งโปรแกรมเต็มวัน ครึ่งวัน หรือหลายวันก็มี ราคาก็ไม่แพง จ่ายเงินที่ร้านเค้าก็จะจัดการให้เราทุกอย่าง
สิ่งที่คนชอบไปทำที่วังเวียงหลักๆเลยก็มี โดดสระบลูลากูน เข้าถ้ำจัง ขึ้นถ้ำปูคำ พายเรือคายัคหรือลอยห่วงยาง(tubing)ที่แม่น้ำซอง แล้วก็ขึ้นบอลลูนชมเมืองวังเวียง พวกเราเลยเลือกมา 3กิจกรรมโดยไม่ได้ซื้อทัวร์ค่ะ เริ่มจากการเหมารถสองแถวไปที่บลูลากูนกับถ้ำปูคำ ห่างจากกลางเมืองวังเวียงไปไม่ไกลค่ะ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างทางก็ได้เห็นธรรมชาติ สวยสุดๆไปเลย เสียดายที่ถ่ายรูปมาน้อยเนื่องจากฝุ่นเยอะมากกกกก พอรถแล่นก็ต้องเอาผ้าปิดหน้าปิดปากกันทุกคน แนะนำว่าไม่ต้องเอาของไปเยอะค่ะ ไม่ได้ใช้ มีแค่ตัว เงิน ผ้าขนหนูผืนเล็ก มือถือกับซองกันน้ำก็เอาอยู่แล้วทั้งวัน
พอถึงที่หมายพี่คนขับเค้าก็นัดแนะเวลากับพวกเรา เค้าให้เวลา3ชั่วโมง แล้วเดี๋ยวจะพากลับเข้าเมือง เอ้าๆๆๆๆ อย่ามัวโอ้เอ้ รีบเดินๆๆๆ… ภาพแรกที่เห็นคือ สระสีเขียวมรกต น้ำใสจนเห็นปลา สวยเอาเรื่องเลย แต่พวกเราเลือกที่จะขึ้นไปถ้ำปูคำก่อน จะได้ลงมาโดดน้ำตัวเปียกทีเดียวขากลับ
ก่อนขึ้นถ้ำจะมีจุดให้เช่าไฟฉายค่ะ เป็นไฟฉายแบบคาดหัว ที่ต้องเช่าเพราะในถ้ำมันค่อนข้างมืด ก็เช่ากันไปคนละอัน ราคา10,000กีบ หรือ40บาทนั่นเอง จ่ายเงินอะไรเรียบร้อยก็ไต่ขึ้นไปตามทางประมาณ1กิโลเมตรก็จะถึงปากถ้ำค่ะ สิ่งที่อะเมซิ่งในถ้ำนี้คือหินงอกหินย้อยที่นี่มีผิวแวววาวเหมือนมีกากเพชรโรยอยู่ทุกที่เลย เดินไปจนสุดก็กลับออกมาทางเดิมนะวัยรุ่นนะ ไปทำตัวเป็นนักสำรวจเดินวนหลงอยู่ในถ้ำไม่เอานา
ในที่สุดก็จะได้โดดน้ำในตำนาน สระบลูลากูน ค่าเข้าแค่10,000กีบ หรือ40บาทค่ะ คุ้มค่ากว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ตรงสระจะมีจุดกระโดดน้ำ 2จุด จะโดดตีลังกาจากกิ่งไม้ใหญ่ ที่มีทั้งชั้นล่างและชั้นบนก็คูลอย่าบอกใคร หรือจะโหนเชือกข้างสระแล้วกระโดดลงน้ำก็สามารถโชว์ลีลาเฟี้ยวฟ้าวได้ไม่แพ้กัน แต่ถ้าใครไม่มั่นใจในสกีลของตัวเองก็ว่ายน้ำเฉยๆก็ได้ค่ะ เดี๋ยวโหนเชือกแล้วจะแถดเอา นึกออกมั้ยแถด คือโหนเชือกมาละนะ ลอยมาละ แต่ปล่อยไม่ถูกจังหวะ เอ้าแถดตรงตลิ่งเฉย555555555 เจ๊งนะแบบนี้ คนมองอยู่เยอะนะ ไม่แนะนำๆๆๆ ส่วนใครที่ต้องการความปลอดภัยที่นี่เค้าก็มีเสื้อชูชีพให้เช่าในราคา10,000กีบ บอกเลยว่าโดดกันมันส์ โดดกันสนุกสนาน แนะนำคุณผู้ชายให้เอาขาสั้นไปเปลี่ยนนิดนึง ไม่งั้นคุณอาจจะต้องลงด้วยกางเกงในเช่นเดียวกับหนึ่งในสมาชิกของเราซึ่งไม่โอเค 55555555555
ออกจากสระบลูลากูนก็นั่งรถกลับเข้าเมืองกันค่ะ กิจกรรมต่อไปรอเราอยู่ มันคือการนั่งและนอนบนห่วงยาง ลอยไปตามแม่น้ำแบบชิวๆสโลๆกันไป หรือที่เค้าเรียกกันว่า “tubing” กิจกรรมนี้พวกเราก็ไม่ได้ซื้อจากทัวร์อีกเช่นเคยค่ะ จัดการกันเอง ไปเช่าห่วงยางกันเอง มันจะมีร้านให้เช่าอยู่ ราคา55,000กีบ(220บาท) บวกกับมัดจำอีก 60,000กีบ (240บาท) ต้องเอาห่วงยางไปคืนก่อน18.15นะคะ ไม่งั้นก็จะเสียมัดจำไปเลย จากร้านเช่าจะมีบริการรถไปส่งที่จุด start การลอยห่วงยาง แต่ก่อนจะขึ้นรถพวกเราก็ต้องเซ็นเอกสารกันเล็กน้อย เป็นเอกสารยินยอมประมาณว่าถ้าเราเป็นอะไรระหว่างการลอยห่วงยางนี่เราโทษเขาไม่ได้นะ ประมาณนั้น
Tubing ใช้เวลาประมาณ 3ชั่วโมงค่ะ ลอยไปเรื่อยๆ ลอยไปตามกระแสน้ำ เหมือนจะไม่มีอะไรแต่ทีเด็ดมันอยู่ตรงธรรมชาติที่พวกนายจะได้เห็นนี่คือสุดยอด ไหนจะบ้านเรือนวิถีชีวิต และที่สำคัญใครที่ชอบปาร์ตี้สังสรรค์เข้าสังคมนะฮะ เหมาะมากเลย เพราะในช่วงแรกของการลอยห่วงยางพวกนายจะผ่านร้านริมน้ำ ซึ่งเป็นบาร์ เปิดเพลงมันส์กำลังดี มีคอกเทล มีเกมส์ให้เล่น ร้านแบบนี้มี 7-8ร้าน พนักงานร้านจะมานั่งอยู่ตรงริมน้ำแล้วตะโกนเรียกพวกที่ลอยห่วงยางประมาณว่า สนใจบ่ สิแดนซ์บ่ ถ้าเราตกลงเค้าก็จะโยนเชือกมาให้เราสาวขึ้นไป พวกเรา11คนก็ไม่ได้ขึ้นไปบาร์หรอก แค่ลอยให้ตรงไม่ชนกันนี่ยังยากเลยค่ะ5555555555555 คนเกาหลีมาที่หลัง เขานำไปไกลละ เห็นละเวทนาตัวเองจริงๆ
เป็นกิจกรรมที่ใช้ร่างกายเยอะเหมือนกัน ไหนจะเปลี่ยนท่าแก้เมื่อย แปรแถวช่วยเพื่อนที่หลุดไปนอกวงโคจร หลบท่อนไม้มั่งแหละ ยกก้นหลบหินมั่งแหละ ชอบจริงๆจังหวะที่หันไปเห็นรุ่นพี่เรานอนอยู่บนห่วงยาง ท่าปกติเลยนะ เอาก้นลงไปในรูหัวยาง แล้วลอยอยู่ดีๆพี่แกจมลงไปในรูห่างยางเว่ย55555555555555ลงไปทั้งตัวอ่ะ จ๋อม…หายไปเลย เล่าไปอาจจะไม่เห็นภาพต้องไปลองกันเอง แต่ละคนคงได้ประสบการณ์ฮาๆที่ไม่เหมือนกัน เออแล้วแนะนำใครที่จะไปอย่าลืมพกซองกันน้ำ หรือกล้องโกโปร ไม่งั้นชีวิตคุณจบสิ้นแน่ๆ เหมือนเราเนี่ยแหละ…หยิบกล้องขึ้นมาไม่ได้เลย เพราะมันจะเปียกแน่ๆ ทุกวันนี้ยังเสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพธรรมชาติตลอดแม่น้ำซองมาให้พวกนายดู ครั้งหน้าจะไม่พลาดๆๆๆๆ แต่รูปจุดstartที่มาฝากกัน หวังว่าจะพอชดเชยได้
ลอยน้ำกันตั้งนานก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา กินข้าวเย็นเสร็จพวกเราก็เลยตัดสินใจกลับที่พัก อาบน้ำ แล้วออกไปซากูระบาร์..เดี๋ยวๆๆๆ ไม่ใช่กลับที่พักแล้วอาบน้ำนอนหรอเพื่อน ไม่ใช่ เพราะวันที่ 2มกราเป็นวันเกิดสมาชิกคนนึง เลยต้องจัดกันซะหน่อย ก็สนุกสนานกันไปถึงคนจะน้อยกว่าการเคาท์ดาวน์เมื่อคืน
อยู่ด้วยกันมา 9วัน วันละ24ชั่วโมง พอถึงวันสุดท้ายละก็รู้สึกโหวงๆยังไงชอบกล ทริปนี้นี่เป็นทริปที่ต้องจารึกจริงๆ วังเวียงก็เป็นที่ที่มั่นใจมากว่าต้องกลับไปอีกให้ได้ จะมีสักกี่ที่ที่ไม่ต้องวางแผนอะไรแล้วมาได้เลย แล้วมีอะไรทำตลอด คือมันดี แต่หมดเวลาแล้วก็ต้องกลับเว่ย รถที่มาส่งพวกเราเมื่อสองวันก่อน มารับพวกเราที่กลางเมืองวังเวียง ระหว่างทางกลับสิ่งที่อยู่ในหัวเราและคงอยู่ในหัวเพื่อนๆพี่ๆน้องๆอีก10คน คงเหมือนกัน คือไม่รู้ว่ากลับไปแล้วจะต้องเจอกับอะไร ถึงธรรมชาติข้างทางจะสวยมากๆแต่ไม่มีใครหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเลย
พอรถพวกเราเริ่มเข้าเมืองเวียงจันทร์ 3Gของบางเครือข่ายก็เริ่มขึ้นมา ไลน์กรุ๊ป “ทริปคนเถื่อน” เด้ง พร้อมกับข้อความจากพยาบาลโรงบาลหนึ่งที่อุดรธานี “รบกวนเพื่อนๆหรือญาติของคุณนัทติดต่อกลับทางโรงพยาบาลด่วนค่ะ ตอนนี้คุณนัทอยู่ห้องไอซียู อาการหนักมาก จะไม่ไหวแล้วค่ะ” เราจำข้อความที่แน่นอนไม่ได้ แต่เนื้อความตามนี้ ยังไม่ทันหายช๊อค รุ่นพี่คนนึงได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนของเค้า “พวกพี่อยู่ไหนกันเนี่ย ติดต่อไม่ได้เลย โรงพยาบาลโทรหาผมบอกพี่นัทจะไม่ไหวแล้วให้พวกพี่รีบกลับด่วนเลยนะ” …ถ้าพวกนายสังเกตดีๆจะจำได้ว่าตอนแรกทริปนี้มีสมาชิก12คน แต่เราเล่าว่า11คนมาตลอดตั้งแต่เข้าด่านตรงหนองคาย ใช่ค่ะ พี่คนนึงไม่ได้ข้ามไปวังเวียงกับพวกเรา เค้าคือคนที่ตั้งกฎของกรุ๊ปนี้ คือคนที่รวมพวกเรา11คนให้มาเจอกัน คือเจ้าของรถที่พวกเราใช้ลุยกันตลอดทั้งทริป
ช่วงที่เที่ยวกันก่อนข้ามไปลาวพี่เค้ามีอาการป่วยตลอด พวกเราพาเค้าเข้าโรงพยาบาลหลายครั้ง และครั้งสุดท้ายคือที่โรงพยาบาลที่อุดรธานี พวกเราไม่ได้ทิ้งพี่เค้า พวกเราทำทุกอย่างที่ทำได้แล้วจริงๆ แต่สิ่งที่พวกเราได้รู้หลังจากการไม่มีสัญญาโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตตลอด2วัน2คืน มันเกินที่พวกเราคาดไว้ พวกเรากลับมาถึงฝั่งไทยแล้วรีบต่อรถไปที่โรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุด แต่พี่นัทไม่รับรู้อะไรแล้ว ผอ.โรงพยาบาลบอกว่าพี่ชายของพวกเราเหลือโอกาสรอดอีกไม่ถึง 20% ผิวหนังไม่รับรู้สัมผัส ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ตาก็ลืมไม่ค่อยได้แล้ว พี่นัทนอนนิ่งๆ 11วันก่อนที่จะจากพวกเราไปด้วยโรคเบาหวาน ที่พวกเราก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่เค้าเป็น ตอนนี้ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว น้องทุกคนยังคิดถึงพี่ เรายังคิดถึงพี่ กะกลับมาเล่าความสนุกที่วังเวียงให้พี่ฟัง กะเอารูปที่ถ่ายมาให้พี่ดู กระทู้นี้ทุกคำทุกรูปเราถือว่าเราเล่าให้พี่ฟังนะพี่นัท ขอบคุณที่พี่ตั้งไอทริปโนแพลนนี่ขึ้นมา เหตุการณ์ครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่พวกเราไม่ได้แพลนไว้เหมือนกัน พวกเราเรียนรู้จากมันมากจริงๆพี่ ถ้ามีโอกาสขอให้เกิดมาเป็นน้องพี่อีก ไปเที่ยวด้วยกันอีกนะพี่นะ
Comments
comments