วันเดียว.. เที่ยวจันทบุรี ด้วยงบ 700 บาท

1 วัน ชิลๆ ที่ ‘อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว และ ชุมชนริมน้ำจันทบูร จ.จันทบุรี’ ด้วยงบ 700 บาท

ห่างหายไปนานเลยค่ะ สำหรับรีวิวการเดินทางท่องเที่ยว จากเพจ Bliss Out There
กลับมาคราวนี้เราเลยขอพาพวกนายไปเที่ยวแบบชิลๆซอฟท์ๆกันก่อน
เอาพอหอมปากคอพอเนอะ ไม่ไกลมาก ไม่บู๊มาก และใช้เงินไม่มาก
ให้ทายว่าที่ไหน?…จันทบุรี…อ้าวเห้ย รู้ได้ไงอ่ะ…ชื่อกระทู้ไงเมิง…จอบอ

ทริปนี้เริ่มจากการเสิจกูเกิ้ลค่ะว่า หน้าฝนเที่ยวไหนได้บ้าง
ผลก็คือ รายชื่อน้ำตกนี่ยาวววววววววววววว เป็นหางว่าว
ดูไปดูมาอันที่เข้าตาเราที่สุดก็เห็นจะเป็น “อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว จังหวัดจันทบุรี” นี่แหละ

เช้าวันอาทิตย์ที่ 20 กันยา 58 สาวน้อยหัวใจโต๊โต (นั่นมันนี่โม่มั้ยล่ะ) ตื่นตีห้ามาอาบน้ำแต่งหน้า จัดกระเป๋า ด้วยตาที่ลืมแค่ครึ่งเดียว เรียกแท็กซี่จากคอนโดไปคิวรถตู้ด้วยตาที่ลืมแค่ครึ่งเดียว และจ่ายเงินซื้อตั๋วรถด้วยตาที่ลืมแค่ครึ่งเดียว ก็รถจากกรุงเทพฯไปจันฯมันตั้ง 3-4ชั่วโมง เราขอออกจากนี่ 6โมงและกันจะได้เที่ยวคุ้มๆ แต่ถึงเราจะลืมตาครึ่งเดียวเราก็จำได้ค่ะว่า ตั๋วราคา 200บาท และคิวรถตู้อยู่ข้างห้างเซนจูรี่ พูดให้ถูกคืออยู่ติดกับผนังห้างเลยอ่ะ55555 ทันทีที่รถออก เราก็ไม่รีรอที่จะ…หลับ

ผ่านไปชั่วโมงครึ่ง เราและผู้โดยสารอีก 4 คน ลืมตาตื่น เนื่องจากพี่คนขับเขาแวะเติมแก๊สค่ะ สิ่งที่อยู่ในหัวเราตอนนี้คือ “ง่วงว้อยยยยยยยยยยยยยยยย ง่วง ง่วง ง่วง ง่วงว้อยยยยยยยยยยยยย” พอได้ขึ้นรถนอนต่อ ตื่นอีกทีก็อยู่ในจันทบุรีแล้วค่ะ เราบอกให้พี่คนขับรถตู้ไปdropเราที่ “ตลาดน้ำพุ” ตลาดประจำจังหวัดอ่ะว่าง่ายๆ จากที่นี่เราต้องต่อรถสองแถวไปอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว ซึ่งจากที่หาข้อมูลมา ค่าสองแถวประมาณ 20 บาทเท่านั้นค่ะ

ลงจากรถตู้ปุ๊ป เห็นสองแถวปั๊ป กดชัตเตอร์ปุ๊ป กระโดดขึ้นรถปั๊ป…ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจริงๆค่ะ555555555 นั่งสองแถวคนเดียวนี่มันก็เพลินดีเหมือนกัน เหยียดกายได้สบายๆ แถมจะถ่ายรูปข้างทางก็ไม่มีใครมาบัง นั่งไม่นานค่ะ ประมาณ 15 นาทีถึงที่หมาย… รถจอด เราก็ลงมาจ่ายเงินค่ะ พี่เขาก็ถาม “อ้าวแล้วตอนกลับ กลับไงอ่ะน้อง ให้พี่มารับมั้ย เอาเบอร์พี่ไว้มั้ย?” ระหว่างที่เราเมมเบอร์พี่แก โทรศัพท์พี่แกก็เข้าค่ะ เราก็ถามเท่าไหร่อ่ะพี่ พี่เขาชู 2นิ้ว นี่ก็หยิบแบงค์ยี่สิบยื่นให้แก แล้วประโยคหายนะก็ตามมา… “น้อง! สองร้อย”

“เห้ย สองร้อยได้ไงอ่ะพี่”
“เอ้า! ก็น้องเหมามาอ่ะ”
“อ้าวพี่ ก็พี่เรียกหนูขึ้น บอกจะออกๆ หนูก็นึกว่าพี่วิ่งเรื่อยๆ”
“โห่น้อง อะไรเนี่ย”
“พี่ลดหน่อยได้ป่าววววว เนี่ย หนูมาคนเดียว ลดหน่อยๆ”
“อ่ะๆๆๆๆ เอามา 150 แล้วตอนจะกลับไม่ต้องโทรมานะ ราคานี้พี่ไม่มา”…

เจ๊งกะบ๊งจอบอ เสียเงิน 125บาท โดยใช่เหตุ(ความจริงนั่งสองแถวประจำทาง 25บาท) แต่เอาวะ มาถึงแล้ว นอยด์ไปก็เท่านั้น จะงอแงกะใครอ่ะ มาก็มาคนเดียว เอนจอยดีกว่า ไปๆๆๆ ลุยๆๆๆๆ

(*ข้อมูลเพิ่มเติม : รถที่เราขึ้นเรียกว่ามาสด้า เป็นรถแบบเหมา ไปทุกที่แต่ราคาแพง ส่วนรถประจำทาง หรือ สองแถวจะเป็นสีเหลืองล้วน หรือสีฟ้า สีแดง แต่ละสายจะเขียนว่าไปที่ไหน เช่น แหลมสิงห์-พลิ้ว, จันทบุรี-จันเขลม, จันทบุรี-สระแก้ว ค่ะ)

“ถั่วฝักยาวมั้ยจ๊ะ ถั่วฝักยาวมั้ยหนู เอาไว้ให้ปลาข้างใน กำละ 10บาทจ้า” เสียงคุณน้าหน้าอุทยานดังต่อเนื่องราวกับเปิดเทปปปปป ไม่ซื้อก็ยังไงอยู่ค่ะ เราซื้อถั่วฝักยาว 2กำ แล้วเดินตรงไปยังที่ซื้อตั๋วเข้าอุทยาน ที่นี่ค่าเข้า 40 บาท สำหรับผู้ใหญ่ 20บาท สำหรับเด็ก (อายุ 4-14ปี) ส่วนคนอายุ 60ปีขึ้นไป เข้าฟรีค่ะ (ราคาชาวต่างชาติ เด็ก 100บาท ผู้ใหญ่ 200บาท) ในอุทยานมีร้านข้าว ร้านกาแฟ ร้านขนมค่ะ หรือใครจะเตรียมข้าวไปเองก็ได้ไม่ว่ากัน ลืมบอกไปค่ะว่า ตรงทางเข้าอุทยานจะมีคนดักถ่ายรูปนักท่องเที่ยวอยู่ แล้วตอนเราจะออกเขาก็จะเอารูปเรามาขาย ใครใคร่ซื้อ…ซื้อ ใครใคร่ไม่ซื้อ…ไม่ซื้อ (มันก็ต้องอย่างงั้นป้ะวะ?55555)

ขอให้ข้อมูลนิดนึงค่ะ มีสาระนิดนึง ไม่โกรธกันๆ… “อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว” เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 11 ของประเทศไทยค่ะ มีเนื้อที่ประมาณ 84,062.50 ไร่ ประกอบด้วยป่าที่สมบูรณ์และเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน ทำให้อากาศเย็นสบายและมีน้ำตกตลอดทั้งปี น้ำที่นี่ใสมากกกกกกกกกกกกค่ะ ใสจนมองเห็นพื้นหินและทรายข้างล่างเลยยย ใสแบบ ถ้าใสกว่านี้ปลาก็ลอยอยู่ในอากาศแล้ว ปลาที่เป็นพระเอกของที่นี่เลยก็คือ “ปลาพวงหิน” ค่ะ เยอะมากๆ มาเป็นกองทัพ ใครใจถึงก็ลงไปให้ปลาตอดกันได้ค่ะ ไม่ต้องกลัว เพราะทุกจุดเล่นน้ำมีเจ้าหน้าที่อุทยานคอยดูแลความปลอดภัยให้ ส่วนเราขอยืนดู ยืนให้อาหารมันก็พอค่ะ : )

มีทางให้ลงตรงไหน เราลงหมดค่ะ

อันนี้เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ตู้หูวววววววววววววววววววววววววววว

และแล้วเราก็มาถึงจุดพีคของที่นี่

โซนนี้ร่มรื่นมากมากเลย

อ้ะ ก่อนจะไปดูน้ำตก ขอแวะดูนู่นดูนี่กันก่อน อย่างแรกเลยคือ “สถูปนางเรือล่ม” ที่สร้างแก่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีอัครมเหสี รัชกาลที่ 5 ค่ะ ภายในบรรจุพระอังคารของพระนางเจ้าฯ เนื่องจากพระองค์ท่านเคยเสด็จประพาส น้ำตกพลิ้ว และทรงชื่นชมความงามของน้ำตกพลิ้วอย่างมาก

มาต่อกันที่ “อลงกรณ์เจดีย์” คือ เจดีย์ทำด้วยศิลาแลง บริเวณหน้าผาด้านหน้าน้ำตกพลิ้ว ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.5) พร้อมด้วยพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีอัครมเหสี ทรงโปรดให้สร้างขึ้น ในปี 2419 เพื่อเป็นที่ระลึกในการเสด็จประพาสน้ำตกพลิ้วด้วยกัน ซึ่งจากหลังเจดีย์จะมองไปเห็นน้ำตกพลิ้วที่ทิ้งตัวลงมาจากผาสูง 20 เมตร ได้อย่างชัดเจนเลยค่ะ

มาๆๆๆๆ เดินลงบันได ไปให้อาหารปลากันต่อที่ “อ่างบันได” และขยับไปเห็นน้ำตกพลิ้วแบบใกล้ๆกันดีกว่า พอลงมาข้างล่างแล้วบอกเลยค่ะว่าอากาศเย็นขึ้นสามระดับ คือมันชุ่มชื้นอ่ะ เย็นสบายบอกไม่ถูก เดินเล่นสักนิด นั่งให้อาหารปลาสักหน่อย ก็เริ่มหิวค่ะ ไปหาอาหารให้ตัวเองมั่งดีกว่า…

กินข้าวเสร็จเราขอขึ้นไปจุดชมวิวเพื่อเป็นการปิดโปรเจคน้ำตกพลิ้วค่ะ
แต่เอาจริงขึ้นไปแล้วก็ไม่มีไรมาก เป็นบ้านพัก กับจุดกางเต็นท์ สำหรับเราวิวข้างล่างสวยกว่านะ

Related Post

12.00 น. เรายืนอยู่หน้าอุทยาน พร้อมเป้าหมายต่อไปในใจ นั่นก็คืออออออออออออออ!!!… “ชุมชนริมน้ำจันทบูร” นั่นเองงงงงงงงงง จากการสอบถามลูกเจ้าของร้านข้าวในอุทยาน พบว่า(ทำเสียงเหมือนอ่านข่าว) การเดินทางจากอุทยานไปชุมชนริมน้ำนั้น ต้องขึ้นรถสองแถวประจำทาง ซึ่งต้องออกไปถนนใหญ่ แล้วข้ามไปรอรถอีกฝั่ง ฟังแล้วเหมือนจะง่าย แต่ปัญหามันอยู่ที่จากอุทยานออกไปถนนใหญ่เนี่ย เกือบ 3 ก.ม. แล้วรถจากอุทยานออกไปเนี่ยนานน๊านนนนนนนนนจะมาที โชคดีค่ะที่แม่ค้าขายถั่วฝักยาวจำเราได้ แล้วมีคนรู้จักแกกำลังจะออกไปข้างนอกพอดี งานนี้เลยได้ซ้อนมอไซด์พี่เขาไปด้วย เขาส่งเราถึงที่รอรถค่ะ บอก “รอตรงนี้นะน้อง มันจะมีสองแถวเข้าเมือง สีอะไรก็ขึ้นได้หมดแหละ บอกเค้าลงตลาดน้ำพุ น่าจะ 20-30บาท”… เป็นความรู้สึกดีๆค่ะที่ไม่ว่าเราจะไปไหน ก็เจอคนไทยใจดีตลอดเลย

อันนี้วิวจากจุดที่รอรถสองแถวค่ะ

รอไม่ถึง 10 นาที สองแถวใจดีก็มาจอดตรงหน้าค่ะ ส่งเราถึงตลาดน้ำพุ ด้วยค่าโดยสารเพียง 25บาท ถึงตลาดแล้วอย่าล่อกแล่ก ตรงเข้าไปหาพี่วินให้ไวนะให้ไว บอกไปชุมชนริมน้ำค่ะพี่ พี่วิน(ความจริงน่าจะลุงวิน)ไม่ลังเลบอกขึ้นมาเลยน้องเอ้ย พอเรานั่งเข้าที่เข้าทางพี่วินก็พุ่งตัวด้วยความเร็วระดับ Fast 8 ประมาณ 5 นาทีถึง คือนี่คิดในใจแบบ เห้ย ลุง ลุงรีบหรอ หนูไม่รีบๆๆๆ เย็นไว้ลุงเย็นไว้… ลุงเก็บเงินเรา 20 บาท พร้อมให้คำแนะนำ “ไอหนู ลุงส่งซ้ายสุดของชุมชนนะ หนูจะได้เดินทั่วๆ หนูก็เดินขึ้นไปจนสุดเนี่ย พอเจอซอยกระจ่างก็จะมีรถให้เรียก”

จ่ายเงินลุงเสร็จ หันหน้ามาเห็น ถึงกับต้องร้อง “ว้าววววววววววววววววววว” บรรยากาศใช้ได้เลยค่ะทุกคนนนนนน เหมือนหลุดไปอยู่อีกยุคนึงของประเทศ เราเดินดูบ้านเรือนริมน้ำ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ พร้อมกับเสพงานอาร์ตข้างทางไปเรื่อยๆ ถือเป็นบ่ายที่สโลบ่ายนึงของเราเลยยยยย (ใครอยากหาข้อมูลเพิ่มเติมของชุมชนนี้ก็ลิงก์นี้เลยค่ะ http://www.paiduaykan.com/76_province/east/chanthaburi/taluang.html )

คาดว่าเพราะเป็นวันอาทิตย์ ร้านค้าเลยเปิดกันไม่ครบค่ะ แต่ไม่เป็นไรแค่นี้ก็ดูจนเพลินแล้ว ร้านที่สะดุดตาเราร้านแรกเลยคือ “ท่ามาจัน” ความจริงที่นี่เป็นโฮมสเตย์ แต่ข้างล่างก็เปิดเป็นร้านอาหารด้วย ตกแต่งในสไตล์ไทยฟิวชั่น วันหยุดใครว่างๆไม่รู้จะไปพักผ่อนที่ไหน เราแนะนำค่ะ

เดินตากแดดมาสักพักแล้ว ขอแวะเข้าร้านนี้หน่อยดีกว่า “Sweet @Moon” คาเฟ่เล็กๆน่ารัก หลังร้านติดกับแม่น้ำ ที่สำคัญเครื่องดื่มและเบเกอรี่ร้านนี้ราคาค่อนข้างถูกค่ะถ้าเทียบกับคาเฟ่ในกรุงเทพฯ เราสั่งชาเขียวลาเต้ ใส่เฉาก๊วยไป แค่ 35 บาท แค่ สาม สิบ ห้า บาท อ่ะ ตาไม่ได้ฝาดหรอกคุณ5555555555 แล้วมันหวานหอมอร่อยลิ้นจนถึงตอนนี้ก็ยังลืมไม่ลง อ๊ะ ไม่ได้เว่อร์

ออกมากจาก Sweet @Moon เดินเลยไปอีกหน่อย ร้านที่อยู่ขวามือเตะตากรรมการคนนี้เข้าอย่างจังค่ะ ร้านนี้ชื่อว่า ‘C.A.P.’ มองภายนอกเป็นคาเฟ่สีเทาเข้ม ล้อมด้วยรั้วสีเทาเข้ม และปูพื้นด้วยกรวดสีเทา ข้างในจะเป็นยังไง ไปดูรูปที่เอามาฝากกันเลยยยยยยยยยยยย

เราสั่ง อิตาเลี่ยน โซดา ลิ้นจี่-กุหลาบ ค่ะ ราคา 75 บาท บอกเลยว่ารสนี้ในกรุงเทพฯยังหากินยากเลยยยยยยยย และถ้าหาได้ก็ไม่ใช่ราคานี้แน่นอน หนึ่งร้อยอัพแน่นอน แถมเพลงในร้านยังดี นิตยสารในร้านยิ่งดี๊ดี ไม่ธรรมดาจริงๆค่ะ

จากที่หาข้อมูลมามันจะมีโบสถ์โรมันคาทอลิกอยู่ในชุมชนค่ะ โบสถ์นี้ชื่อว่า “อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล” เราเดินเจอป้ายบอกทางไปโบสถ์พอดีเลยเอาซะหน่อยค่ะๆ (ใครอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับโบถส์นี้มากขึ้นก็คลิกเลยยยยย http://www.paiduaykan.com/76_province/east/chanthaburi/temple.html  )

“สะพานนิรมล” คือสะพานที่เราใช้ข้ามไปโบสถ์ค่ะ จากสะพานนี้พวกนายสามารถชมวิวชุมชนริมน้ำได้แบบเต็มๆ สองข้างเลยยยยยย

เดินกันมาจนสุดชุมชน ถึงซอยกระจ่างที่ลุงวินมอไซด์บอกแล้ว นี่เราต้องกลับแล้วหรอเนี่ยยย กำลังเพลินเลยยยยย แต่เดี๋ยว ยังพอมีเวลา… ไปเดินเล่นตลาดน้ำพุก่อนกลับกันดีกว่าค่ะ

บ่าย 3 โมง เป็นเวลาที่ล้อรถตู้เคลื่อน และ 6โมงครึ่งเป็นเวลาที่เท้าเราสัมผัสพื้นหน้าห้างเซนจูรี่ค่ะ มาดูกันดีกว่าทริปนี้เราใช้เงินไปทั้งหมดเท่าไหร่…

1. ค่ารถตู้ ไป-กลับ 400 บาท
2. ค่าสองแถว ตลาดน้ำพุ-อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว ไป-กลับ 50 บาท (ถ้ารอรถสองแถวประจำทาง)
3. ค่ามอเตอร์ไซด์ 60 บาท (3 รอบ : ตลาดน้ำพุไปชุมชน ชุมชนกลับมาตลาดน้ำพุ และตลาดน้ำพุไปคิวรถตู้)
4. ค่าเข้าอุทยาน 40 บาท
5. ค่ากิน อันนี้แล้วแต่คนค่ะ ของเรา 150 บาท (ข้าวที่อุทยาน 40 บาท ชาเขียวเฉาก๊วย 35 บาท อิตาเลียนโซดา 75 บาท )

*รวมแล้ว 700 บาทถ้วน*

ทุกรูปในทริปนี้ถ่ายด้วย Samsung Galaxy s6 ค่ะ
ใครมีคำถามอะไรก็inbox เข้ามาในเพจ Bliss Out There ได้เลยน้า

ทริปหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหน รอติดตามกันด้วยนะคะ (:

Comments

comments