‘โยโกสุกะ’ เมืองเล็กๆในจังหวัดคานากาว่า ประเทศญี่ปุ่น ที่จะทำให้ทุกคนหลงรัก
ห่างหายไปนานค่ะสำหรับการรีวิวทริปต่างประเทศ กลับมาคราวนี้เราไม่ได้พาไปที่ไหนไกล…
“ญี่ปุ่น” ประเทศขวัญใจของคนไทยเรานี่เอง แต่อ่านชื่อกระทู้แล้วหลายคนอาจจะเกิดคำถามว่า “โยโกสุกะ ไหนวะ? ไม่เคยได้ยิน” ไม่แปลกค่ะถ้าจะงง เพราะเราก็เพิ่งมารู้จักกับนาง เพิ่งมารู้ว่านางน่าคบหามากกกกกกก
รีวิวนี้เลยขอแนะนำ “เมืองโยโกสุกะ” ให้กับทุกคนค่ะ ไปเล้ยยยยยยยยยยย
“โยโกสุกะ (Yokosuka)” เป็นเมืองไม่เล็ก แต่ก็ไม่ใหญ่ ตั้งอยู่ในจังหวัดคานากาว่า ประเทศญี่ปุ่น ค่ะ
เมืองนี้หันหน้าเข้าอ่าวโตเกียว และ อ่าวซางามิ เรื่องทรัพยากรทางทะเลและธรรมชาตินี่ไม่ต้องพูดถึง…อุดมสมบูรณ์เว่อร์
แถมยังมีการขึ้นปลาของการประมงชายฝั่งมากที่สุดในจังหวัด เรียกได้ว่า กุ้ง หอย ปู ปลา นี่สดสุดสุดไปเลย
จุดเด่นอีกอย่างของโยโกสุกะ คือ เมืองนี้มีความเป็นอเมริกันผสมอยู่ค่ะ ก็หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่ทหารเมกันแกเข้ามาใช้อำนาจ และตั้งกองทัพเรือ เพื่อจะควบคุมดำเนินสงครามเวียดนาม และสงครามเกาหลีได้สะดวกขึ้น ปัจจุบันนอกจากตึกและอาคารสไตล์อเมริกันที่เหลืออยู่ ข้าวแกงกะหรี่ และ แฮมเบอร์เกอร์ สูตรจากฐานทัพเรืออเมริกัน ก็เป็นสิ่งที่คนมาเที่ยวโยโกสุกะพลาดไม่ได้เด็ดขาดดดดดดดดดดดด
เกริ่นกันมาพอสมควรแล้ว เราไปดูวิธีการเดินทางไปยังเมืองนี้เลยดีกว่า…
ทริปนี้เราเดินทางด้วยสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ ออกจากสนามบินดอนเมืองตอน 5ทุ่มกว่าของวันที่ 10 มกรา 59
และถึงสนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น เวลา 8 โมงเช้าของวันที่ 11 มกรา 59 ค่ะ จากนั้นต่อรถบัสไปที่จังหวัด “โยโกฮาม่า (Yokohama)”
และต่อรถไฟไปลงสถานี “ชิโออิริ (Shioiri)” เท่านี้ก็ถึงโรงแรมและย่านที่พวกเราจะไปเที่ยวกันวันนี้แล้ว
ส่วนตั๋วรถบัสนาริตะ – โยโกฮาม่า (เที่ยวเดียว) พวกนายสามารถซื้อได้ในราคา 3,600 เยน ที่เคาท์เตอร์ชั้นล่างของสนามบิน… ซื้อเสร็จ กระโดดขึ้นรถ นอนหลับฝันสัก 2 ชั่วโมง ก็ถึงโยโกฮาม่าแล้วค่ะ!
ถึงแล้วก็อย่าลอกแลก มองหาป้าย “Yokohama Sta.” หรือ “Keikyu Line” เอาไว้
เจอปุ๊ป เอาเงิน 360 เยน ซื้อตั๋วปั๊ป จากนั้นนั่งสวยๆประมาณ 25 นาที ก็จะถึงสถานีชิโออิริค่ะ
มาถึงก็จะบ่ายแล้ว หิว จนน้ำย่อยในกระเพาะออกมาเต้นระบำ พวกเราขออนุญาตเติมพลังที่ร้าน “โยชิดะ (Yoshida)” ก่อนเลยแล้วกัน… นั่น! งงอ่ะดิว่าทำไมใช้คำว่า “พวกเรา”… ทริปนี้เราไม่ได้มาคนเดียวค่ะ มากับทีมงานรายการ “อาริกาโตะ Go I Must” รายการพาเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ที่ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 11.30 น. ทางช่อง NOW26 บอกเลยว่ารับประกันความสนุกสนานเฮฮาตลอดทริป!
อ้ะ! ว่ากันต่อเรื่องร้านอาหาร… ร้านนี้เขาดังเรื่อง “โอะโคะโนะมิยากิ (Okonomiyaki)” หรือที่พี่ไทยเราเรียกว่า “พิซซ่าญี่ปุ่น” ค่ะ ร้านนี้เขามีเมนูส่วนผสมให้เราเลือกมาmixได้(แต่จะmatchมั้ยก็อีกเรื่องหนึ่ง)ถ้าอยากจะทำกินเอง หรือจะให้เขาทำให้กินแบบเรา ก็ปลอดภัยดีค่ะ อร่อยน้ำตาไหล… ไม่เข้าใจว่าจะอร่อยอะไรเบอร์นั้น บอกพิกัดให้ค่ะสำหรับคนที่อยากมาเสียน้ำตา ออกมาจากสถานีชิโออิริ เลี้ยวซ้ายทีหนึ่ง ข้ามถนนทีหนึ่ง ร้านสีขาว ประตูสีดำ นั่นแหละค่ะ อ่ะ! แปะลิงก์ไว้ให้ https://www.facebook.com/okonomiyaki.yoshida/?__mref=message_bubble
เมนูที่เราสั่ง ราคารวม tax 8% แล้ว คือ 1,296 เยน ค่ะ ส่วนราคาเมนูอื่นๆก็ตามในรูปเลย
เติมพลังเสร็จ พร้อมลุยค่ะ! แต่ก่อนที่จะไปลุย ขอแวะฝากของที่โรงแรมสักแป๊ป จะได้เที่ยวกันสะดวกๆ
โรงแรมที่เรานอนคืนนี้ชื่อ “Mercure hotel” ค่ะ อยู่ใกล้กับร้านเมื่อกี๊อ่ะแหละ เดินประมาณ 3-5 นาที ก็ถึงแล้ว
เก็บของเสร็จ เดินต่ออีก 10 นาที ก็จะถึงที่หมายแรกของวันนี้… “Yokosuka military port” ค่ะ
นี่คือหน้าตาของเรือที่จะพาพวกเราไปโลดแล่น…
นั่งข้างล่างก็สะดวก หรือจะนั่งข้างบนก็สบาย
ก่อนจะไปทัวร์ Yokosuka military port ขอเล่านิดนึงค่ะว่า ช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้ามาตั้งฐานทัพเรือที่เมืองโยโกสุกะ นายพลเพอร์รี่ (Matthew Calbraith Perry) เขาพัฒนาเมืองโยโกสุกะให้เป็นเมืองท่าเรือทหาร มีการตั้งคลังสรรพาวุธ ตั้งเขตปกครองทางทะเล และป้อมป้องกันการรุกรานทางทะเลในอ่าวโตเกียว ซึ่งตอนนี้เรือรบรูปแบบต่างๆยังจอดอยู่ที่เมืองนี้ เปิดให้คนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวอย่างเราเข้าชมได้ทุกวัน วันละ 6 รอบ (10.00, 11.00, 12.00, 13.00, 14.00 และ 15.00 น.) รอบละ 45 นาที โดยคิดค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 1,400 เยน และสำหรับเด็ก 700 เยน ค่ะ
ใครที่สนใจจะมาทัวร์ Yokosuka military port แนะนำให้หาข้อมูลมาก่อนนิดนึงค่ะ เพราไกด์ที่นี่เขาไม่พูดอังกฤษ รัวภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น โชคดีที่พี่ที่ไปด้วยกันพูดภาษาญี่ปุ่นได้ เลยพอจะได้ความรู้มาบ้างค่ะ อย่างเช่น เรือหมายเลข 301 กับ 303 ทำมาจากต้นสนทั้งลำ , เรือ DDG-170 เป็นเรือรบพิฆาตที่ทรงพลานุภาพมากๆ ส่วนเรือชิระเซะ เป็นเรือที่เคยใช้สำรวจขั้วโลกใต้ ซึ่งตอนี้ถูกประมูลไปเป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำค่ะ
เดินจาก Yokosuka military port ไปประมาณ 20 นาที ยังมีเรืออีกลำที่เป็นพระเอกของเมืองนี้ นั่นก็คือออออออออออ
“เรือรบมิคาสะ (Battle ship Mikasa)” 1 ใน 3 เรือรบที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังถูกเก็บรักษาไว้ ค่ะ
เข้ามาซื้อตั๋วตรงนี้นะ ตั๋วราคา 600 เยน สำหรับผู้ใหญ่ 500 เยน สำหรับผู้สูงอายุ และ
300 เยน สำหรับนักเรียนมัธยมปลาย ต่ำกว่านั้นเข้าฟรี ค่ะ
เรือรบมิคาสะสร้างขึ้นในปี 1890 เพื่อเป็นเรือธงให้ “พลเอกโทโง เฮฮะชิโร่” ในสงคราม รัสเซีย-ญี่ปุ่น ค่ะ
เรือลำนี้ออกแบบและดัดแปลงมาจากเรือประจัญบานของราชนาวีอังกฤษ กว้าง 23.2 เมตร และยาวววววววววววววววถึง 131.7 เมตร ตามสนธิสัญญาวอชิงตัน เธอต้องถูกปลดประจำการ และบดทิ้งเมื่อเดือนกันยายน ปี 1922 แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยื่นเรื่องให้เธอเป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำ โดยเปิดให้เข้าชมครั้งแรกวันที่ 12 พ.ย. 1926 และปิดปรับปรุงในช่วงปี 1950… ส่วนตอนนี้เธอเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ ให้เราเข้าชมได้ทุกวัน (เดือนมี.ค.-ต.ค. เปิด 9.00-17.00 น. และ เดือนพ.ย.-ก.พ. เปิด 9.00-16.30 น.)
นี่ห้องควบคุมของกัปตันค่ะ
มาต่อกันที่ชั้นล่าง ชิ้นส่วนและหลักฐานสำคัญของเรือลำนี้ยังอยู่ครบค่ะ
ไปเที่ยวแบบเน้นสาระมา 2 ที่ละ เราไปเบาสมองกันหน่อยดีกว่าค่ะ ที่ “Port Market” ชื่อก็บอกอยู่แล้วเนอะว่าคือตลาด ที่ Port Market เขาขายเฉพาะของสดค่ะ ไม่สดเขาไม่ขาย ทั้งปลาสด ผักสด ผลไม้สด… นักท่องเที่ยวอย่างเราถ้าไปแล้วไม่สะดวกซื้อของสด ก็เดินดูเฉยๆ หรือจะสั่งเมนูซาชิมิมาชิมก็ได้นะ เอ้อ! ลืมบอก จากเรือรบมิคาสะเดินมาที่นี่ ใช้เวลาแค่ 5 นาที เอง ไม่แวะก็ยังไงยู่
เดินดูของสดกันจนหิว งั้นเราไปหาร้านสำหรับมื้อเย็นกันเลยดีกว่าค่ะ! เขาบอกว่าที่ “ถนนโดบุอิตะ (Dobuita street)”
มีร้านขายเบอร์เกอร์ และ ข้าวแกงกะหรี่ สูตรจากฐานทัพเรืออเมริกันอยู่ ฉะนั้นจัดไปอย่าให้เสีย
ร้าน “สึนามิ (Tsunami)” (แค่ชื่อร้านก็ปังแล้ว) เดินจาก Port Market มาประมาณ 15 นาที ค่ะ มาถึงแล้วก็อย่ารีรอ พุ่งตัวเข้าไปหาที่นั่งก่อนเลย ร้านนี้มี 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นบาร์ กับโต๊ะเล็กๆ ชั้นบนจะแบ่งเป็นห้องๆ แต่ละห้องมีโต๊ะใหญ่ เรียกง่ายๆว่า private กว่าชั้นล่าง ค่ะ
พวกเราเลือกที่จะโดนเมนูแนะนำของร้านนี้กระแทกปากค่ะ นั่นก็คือ ข้าวหน้าแกงกะหรี่เนื้อ 1,200 เยน (เพิ่มอีก 200 เยน ถ้าสั่งเป็นชุด รวมเครื่องดื่ม กับ สลัด) และ Double R Burger ในราคา 2,000 เยน ส่วนเรื่องรสชาติเรามาว่ากันทีละเมนู…
ข้าวแกงกะหรี่… อร่อยมากกกกกก อร่อยจริง อร่อยสมคำล่ำลือ ดั่งประโยคที่ว่า “ผู้ใดได้เอาลิ้นสัมผัสรสของข้าวแกงกะหรี่ที่ร้านสึนามิ ผู้นั้นนอนตายตาหลับ” (คิดเองอีกอ่ะ) เนื้อวัวคือนุ่มมากอ่ะ คนชอบกินเนื้อ นายต้องมานะ! ส่วนรสของแกงกะหรี่ก็หวานๆกลมกล่อม ต่างจากแกงกะหรี่บ้านเราที่เน้นรสจัด เผ็ดๆเค็มๆ ไว้ก่อน หลายคนอาจจะงงว่าเขาให้นมมาทำไมหนึ่งแก้ว คำตอบคือเขาให้เอามากินกับแกงกะหรี่ค่ะ มันเป็นสูตรของเขา ตักข้าวตักแกงเข้าปาก แล้วจิบนมตามเข้าไป นั่นแหละ คุณได้ขึ้นสวรรค์แล้ว
มาที่เมนู Double R Burger กันบ้าง… เนื้อวัว 2 ชิ้นใหญ่ ประกบด้วย ขนมปังหนานุ่ม เบคอนกรอบๆ และซอสสูตรเฉพาะของทางร้าน อร่อยไม่แพ้ข้าวแกงกะหรี่ค่ะ ถ้าเป็นฟุตบอลนี่เขาเรียก อร่อย 1 : 1… เอ้า! งง! ก็อร่อยเสมอกันไง!! ดูในรูปอาจจะเฉยๆ แต่ของจริงคือมันใหญ่มากค่ะ ใหญ่ประมาณ ชีสเบอร์เกอร์ของประเทศเรา ซ้อนกัน 3 ชั้นครึ่ง! เราแบ่งกิน 2 คน ยังกินกันไม่หมดเลย ใครสั่งมาแล้วกินหมด ข้าน้อยขอคารวะ
กินเสร็จ เดินท้องตึงออกมาจากร้าน ใครที่มาเร็วหน่อย (ก่อน 1ทุ่ม) ก็สามารถเดินเล่นบนถนนโดบุอิตะต่อได้ เป็นถนนช้อปปิ้ง มีทั้งร้านขายเสื้อผ้า บาร์ ร้านอาหาร แต่กว่าเรากินเสร็จก็ทุ่มกว่า ร้านเขาปิดเกือบหมดละ เลยขอกลับโรงแรมไปชาร์จพลังสำหรับวันพรุ่งนี้ค่ะ ส่วนค่าที่พักคืนนี้ ห้อง single room ราคาคนละ 12,200 เยน / คน / คืน และ 20,800 เยน / 2 คน / คืน ค่ะ ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก็ลิงก์นี้เลย http://www.mercure.com/gb/hotel-7490-mercure-yokosuka/index.shtml
เป็นยังไง? นอนกันสบายมั้ยคืนแรก? มาๆๆๆๆ ลุกๆๆๆๆๆ เดี๋ยวจะไม่ทัน วันนี้โปรแกรมเราเริ่มแต่เช้าค่ะ!
แต่ก่อนจะออกไปเที่ยว ขอทานมื้อเช้าของโรงแรมให้คุ้มกับค่าห้องพักซะก่อน
กิจกรรมแรกของวันนี้ คือ การแช่ “ออนเซน (Onsen)” ที่ “ยูราโนะซาโตะ (Yuranosato)”
ที่นี่เขามีให้แช่ทั้งน้ำร้อน น้ำเย็น น้ำโซดา (Indoor) และ น้ำพุร้อน (Outdoor) แถมมมมมยังมีห้องซาวน่าด้วย
ที่สำคัญ ค่าบริการไม่แพงเลย 1,490 เยน / 1 ครั้ง (เพิ่ม 200 เยน ในวันเสาร์ – อาทิตย์) แต่ละครั้งจะแช่นานแค่ไหนก็ได้!
เปิด 9.00 – 24.00 น. ทุกวัน ใครอยากสดชื่นให้มาตอนเช้า ใครอยากผ่อนคลายให้มาตอนเย็นค่ะ
ป.ล. ภาพถ่ายทั้งหมดได้รับการอนุญาตให้เผยแพร่จากร้านยูราโนะซาโตะ แล้วเด้อ
ให้เบาะแสสำหรับคนที่อยากจะมา… นั่งรถไฟมาลงที่สถานี “มาโบริ ไคกัน (Mabori Kaigan)” เดินต่ออีกประมาณ 10 นาที ถึงเลย… ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะว่า แช่แล้วร่างกายอบอุ่นขึ้นจริง หายหนาวจริง! แวะกลับไป check out ที่ Mercure hotel แล้วเราไปลุยกันเล้ยยยยยยยยยย
ที่ที่สองของวันนี้ คือ “ศูนย์ควบคุมและป้องกันภัยพิบัติชาวเมืองโยโกสุกะ” เรียกสั้นๆว่า “อันชินคัน (Anshinkan)” ค่ะ
เดินจาก Mercure hotel ไปอันชินคัน ใช้เวลาประมาณ 15 นาที หรือจะนั่งรถบัสจากสถานี “ชิโอโดเมะ (Shiodome)”
ไปลงที่สถานี “โอะดะคิโชะ (Odakicho)” ก็ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ค่ะ
ที่นี่เปิดให้คนญี่ปุ่นเข้ามาศึกษาเรื่องแผ่นดินไหวโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ค่ะ มีการจัดแสดงข้อมูลเรื่องแผ่นดินไหว ชุดของนักดับเพลิง และ ก็มี theater เล็กๆ เอาไว้ฉายวิดีโอเกี่ยวกับเรื่องการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่น เช่น สาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหว รูปแบบของแผ่นดินไหว และ บทบาทของนักดับเพลิง ส่วนที่พีคที่สุดก็เห็นจะเป็นการจำลองเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 6 ริกเตอร์ ในฉากห้องครัว และ ห้องนั่งเล่น ค่ะ ทั้งสนุก ตื่นเต้น ทั้งได้ความรู้ แบบนี้สิเลิศ!
ก่อนที่จะจำลองเหตุการณ์แผ่นดินไหว เจ้าหน้าที่เขาก็จะมาสอน และสาธิตวิธีการปฏิบัติตนขณะเกิดแผ่นดินไหว และ เพลิงไหม้ ค่ะ ตอนนั้นบอกเลยว่าตื่นเต้น ถึงจะเป็นแค่เหตุการณ์จำลองแต่มันตั้ง 6 ริกเตอร์นะคุณ! มันไม่ใช่น้อยๆนะสำหรับคนไทยอย่างเรา(จัดอยู่ในระดับแรง เลยปานกลางมาหนึ่งระดับ สร้างความเสียหายได้ในรัศมีประมาณ 80 กิโลเมตร)
อ้าวววววววววววววว สั่นๆๆๆๆๆๆ หลบใต้โต๊ะก่อนเลย!… พยายามอยู่ห่างของมีคม และเครื่องใช้ไฟฟ้านะ อันตรายมาก… ตัดจากภาพนี้พวกเราก็ต้องวิ่งไปดับไฟที่ไหม้อยู่ในห้องนั่งเล่น (ไฟบนจอภาพ) แล้วเปิดประตูออกจากบ้านจำลองให้เร็วที่สุดค่ะ
เสร็จสิ้นภารกิจ “นาทีชีวิต พิชิตแผ่นดินไหว” ของที่ระลึก คือ ภาพตอนเราอยู่ในเหตุการณ์จำลองอ่ะ น่ารักเนอะ
เสียขวัญกันไปแล้ว ที่ต่อไปเราไปทำจิตใจให้สงบ เรียกขวัญของเรากลับมากันค่ะ ที่ “ศาลเจ้าฮะชิริมิซุ (Hashirimizu Shrine)”… แต่ เอ๊ะ! มันอยู่ไกลเหมือนกันนะ คงต้องแวะกินข้าวเที่ยงระหว่างทาง… เห้ย! “ยูราโนะซาโตะ” ที่เราไปออนเซนเมื่อเช้าอยู่ระหว่างทางพอดี เป็นร้านอาหารด้วย งั้นจัดเลยแล้วกันค่ะ! นั่งรถบัสราคา 260 เยน ใช้เวลา 20 นาที จากป้าย “โยโกสุกะ ชูโอะ (Yokosuka Chuo)” ไปลงที่ป้าย “มาโบริ โชะ กัคโคว (Mabori cho gakkou)” แล้วเดินต่ออีก 5 นาที ก็ถึงที่หมาย
นี่คือป้าย “โยโกสุกะ ชูโอะ”
และนี่ก็คือป้าย “มาโบริ โชะ กัคโคว”
หิวขนาดไหนก็กินไม่ได้ค่ะ ถ้ายังไม่ได้ถ่ายรูปบรรยากาศในร้านมาให้พวกนายชมกัน
และนี่ก็คือเทคโนโลยีสุดล้ำ ที่ไม่ใช่การแลกคูปอง ไม่ใช่การใช้บัตรเติมเงินในศูนย์อาหาร แต่มันคือ!!.. กำไล บาร์โค้ดดดดดดดดดดดดด!!!… (ตอนอ่านทำเสียงตื่นเต้นด้วยนะ จะได้ดูยิ่งใหญ่) ที่ไม่ว่าเราจะสั่งอาหาร หรือ เครื่องดื่ม มันก็จะบันทึกสิ่งที่เราสั่งเอาไว้ พนักงานจะใช้อุปกรณ์อัจฉริยะ (หน้าตากึ่งรีโมทกึ่งแท็บเล็ต) มาจ่อที่กำไลของเรา และหลังจากที่เราอิ่มอร่อยกับอาหารทั้งหมดทั้งมวลแล้ว เราก็แค่เดินไปที่แคชเชียร์… ยื่นกำไลข้อมือให้พนักงาน… จ่ายเงินตามจำนวนที่ขึ้นบนหน้าจอ แล้วเดินตัวปลิวออกจากร้าน… กำไลบาร์โค้ด ช่วยลดปริมาณการใช้กระดาษจากการจดออเดอร์ ลดปัญหาการสื่อสารภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่อง ถ้าคุณโทรสั่งกำไลบาร์โค้ดวันนี้… เดี๋ยว!! ไม่ใช่โฆษณา! ไอบ้า!
เราสั่งชุดคัตสึด้ง หรือที่พี่ไทยเราเรียกว่า ข้าวกับหมูทอด ค่ะ ถือว่าอร่อยเลย ข้าวดี ข้าวแน่น
ส่วนเมนูอื่นที่สั่งมาแชร์กับเพื่อนๆก็ถูกปากทุกอัน ราคาอาหารร้านนี้อยู่ที่ 1,200++ เยน ต่อเมนู ค่ะ
กินเสร็จ จ่ายเงิน แล้วเดินออกไปขึ้นรถบัสที่ป้าย “อิเซะมาชิ (Isemachi)” ค่ะ
นั่งไม่เกิน 10 นาทีก็ถึงป้าย “ศาลเจ้าฮะชิริมิซุ (Hashirimizu Shrine)” จากนั้นเดินต่ออีก 5 นาที ถึงศาลเจ้าแน่นอนนนนนนนนนนน
ศาลเจ้าฮะชิริมิซุ เป็นศาลเจ้าของศาสนาพุทธ ลัทธิชินโต ที่สร้างให้กับเจ้าชาย “ยามาโตะ ทาเครุ (Yamato takeru)” และ เจ้าหญิง “โอโตะตะจิบะนะ (Ototachibana)” ค่ะ ตำนานเล่าว่าเมื่อ ค.ศ.370 ทั้งคู่พยายามเดินทางข้ามมหาสมุทรจากฮะชิริมิซุ ไปยังชิบะ แต่เกิดพายุขึ้นกลางทะเล ทำให้เหลือแค่เจ้าชายที่รอดชีวิตและข้ามมายังชิบะได้ ( อ้างอิง : http://m-imajo.main.jp/m-imajo/akari/seasidenews/folder/yokosuka9802-e.html )
ใครที่มาไหว้ศาลเจ้าในญี่ปุ่นก็อย่าลืมทำตามขั้นตอนการเคารพ หรือ ขอพร ของชาวญี่ปุ่นเขานะ แปะลิงก์ไว้ให้ค่ะเผื่อใครจะศึกษา http://on.fb.me/203XJFz
อันนี้จุดชมวิวตอนเดินขึ้นไปบนศาลเจ้าค่ะ
เห็นในรูปสีสดใส มูทแอนโทนดูอารมณ์ดีแบบนี้ บอกเลยค่ะว่าความจริงหนาวมากกกกกกกกก หนาวบรม!
เอาเป็นว่าวันนี้พอแค่นี้แล้วกัน เดี๋ยวไป check in ที่โรงแรมแล้วออกมาหาไรง่ายๆกินกันดีกว่า… ป่ะ!
คืนนี้พวกเราพักที่โรงแรม “คันนอนซากิ เคคิว (Kannonzaki Keikyu Hotel)” ค่ะ เป็นโรงแรม 4 ดาว ค่าห้องอยู่ที่ 10,000 เยน / คน / คืน และ 34,000 เยน / 2 คน / คืน ราคานี้ไม่รวมค่าอาหารเช้า 2,000 เยน และ ค่าอาหารเย็น 7,000 เยน ซึ่งจะเอาหรือไม่เอาก็ได้ แต่ช้าก่อนนนนนนน!… ถ้าคุณเป็นแฟนรายการอาริกาโตะ Go I Must ทางโรงแรมเขาจัดโปรโมชั่นเด็ดๆมาให้ วันธรรมดาลดจาก 34,000 เยน /2 คน / คืน เหลือ 17,000 เยน / 2 คน / คืน วันเสาร์ลดจาก 40,000 เยน /2 คน / คืน เหลือ 20,000 เยน / 2 คน / คืน ป.ล. โปรโมชั่นนี้ไม่สามารถใช้ได้ในช่วงวันหยุดปีใหม่, ช่วง Golden week 29 เม.ย. – 9 พ.ค. และช่วงเดือน ก.ค. – ก.ย. ยังไงล่ะ ยังไง ติดต่อจองห้องพักได้ที่ hotelinfo@kannon-kqh.co.jp หรือ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ในเว็บของโรมแรม ลิงก์นี้เลยค่ะ http://www.kannon-kqh.co.jp/eng/
วันนี้เราทานมื้อเย็นกันที่ร้าน “Café elumu” ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงแรมมากๆ ใกล้อย่างกับร้านอาหารตามสั่งหน้าปากซอย เมนูมีไม่เยอะค่ะร้านนี้ ก็พวกข้าวหมูทอด ข้าวแกงกะหรี่ ข้าวหน้าปลาทูน่าสับ ไรงี้ ส่วนนี่โดนเซ็ตข้าวแกงกะหรี่ ไป 930 เยน แถมได้ฟังดนตรีสดจากสามี ภรรยา เจ้าของร้าน ถือเป็นการปิดท้ายวันที่ 2 ที่สวยงามค่ะ
อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่ 3 มาคอนเซ็ปเดิมเลยค่ะเช้านี้ คือ แช่! ออน! เซน! ที่แช่ออนเซนจะแยกออกนอกโรงแรม ชื่อ “Spasso” ค่ะ วิวเด็ดกว่าที่ไปเมื่อวานอีกนะ ใครจะบอก ‘โอ้ยขี้เกียจ ไม่แช่ๆๆๆๆ’ ให้คิดอีกที เพราะแช่ฟรี ค่ะ ย้ำ! ว่าแช่ฟรี ส่วนคนที่ไม่ได้พักที่นี่ ก็มาแช่ได้ ก็เสียค่าบริการกันไป
ป.ล. ภาพถ่ายทั้งหมดได้รับการอนุญาตให้เผยแพร่จาก Spasso แล้วค่ะ
แช่เสร็จ… กินข้าว… check out แล้วเราไปเที่ยวกันต่อค่ะวันนี้
แอบบอกกันก่อนนิดนึงว่า 2 วันแรกแค่น้ำจิ้มๆนะ วันเนี้ยของจริงละ!
“Yokosuka Museum Of Art” คือเป้าหมายแรกของพวกเราในวันนี้
อยู่ใกล้โรงแรมซะเหลือเกิน เดินออกมา เลี้ยวซ้าย แล้วเดินขึ้นไปอีกหน่อย ก็ถึงแล้ว
นอกจากจะรวบรวมเอางานศิลปะของศิลปินชาวญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยใหม่มาจนปัจจุบัน และ มีการจัดแสดงผลงานสับเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่เรื่อยๆ แล้ว… เขายังเอาใจคนอาร์ตด้วยห้องสมุด ที่มีหนังสือ นิตยสาร และ สิ่งพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องศิลปะ กว่า 40,000 เล่ม มาให้เราอ่านกันฟรีๆค่ะ!
Yokosuka Museum Of Art เปิด 10.00-18.00 น. ทุกวัน ปิดแค่วันจันทร์แรกของทุกเดือน
ส่วนค่าเข้าชมก็ไม่แพงเลยค่ะ 310 เยน แต่เขาห้ามถ่ายรูปนะในพิพิธภัณฑ์ ถ่ายได้แค่ตรงดาดฟ้า กับ รอบนอก
ช้าก่อนคนที่ไม่ได้อินกับศิลปะ! มีแฟนเปล่าเราอ่ะ? พาแฟนไปเที่ยวญี่ปุ่นเปล่าอ่ะ? พาแฟนไปแวะที่นี่ได้นะ
ป้ายเนี้ยเขาบอกว่าคู่รักที่มาขอพรที่นี่ จะมีชีวิตคู่ที่ดี และมีครอบครัวที่น่าร้ากกกกกกกกกกกกกก
ออกจากที่แรก มุ่งหน้าสู่ที่ที่สองของวันนี้… “สวนคันนอนซากิ (Kannonzaki Park)” และ “ประภาคารคันนอนซากิ (Kannonzaki Light House)” ค่ะ จาก Yokosuka Museum Of Art เดินเรียบอ่าวมาประมาณ 10 – 15 นาที เท่านั้นเอง สวนคันนอนซากิ ตั้งอยู่บนแหลมคันนอนซากิ ค่ะ หันหน้าเข้าอ่าวซางามิ และภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งถ้าโชคดีก็จะได้เห็น ถ้าโชคไม่ดีก็ไว้มาใหม่ๆๆๆ
ไม่รู้จะพูดอะไรเกี่ยวกับที่นี่ค่ะ นอกจากมาเถอะ มันดี… สวย… สงบ…
ส่วนประภาคารคันนอนซากิก็อยู่ในสวนนี่แหละ ต้องเดินขึ้นไปอีกหน่อย มีป้ายบอกทางอตลอดค่ะ
สวย สง่า สมแล้วที่เป็นประภาคารสไตล์ยุโรปหลังแรกในญี่ปุ่น! ประภาคารหลังนี้สร้างโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส ชื่อว่า Leonce Verny ค่ะ แต่อันที่พวกเราเห็นนี่ไม่ใช่อันที่เขาสร้างนะ อันที่เขาสร้างตอนปี 1867 อ่ะ โดนแผ่นดินไหวพังไปเมื่อปี 1922 แล้วเขาก็ซ่อม แล้วปีต่อมาก็พังอีก อันที่พวกเราเห็น สร้างใหม่เมื่อปี 1925 ค่ะ… ไหนๆก็มาแล้ว จ่าย 200 เยน ขึ้นไปดูวิวจากบนประภาคารดีกว่าแกรรรรรรรรรรร
เต็มอิ่มกับอาหารตาไปแล้ว ก็ได้เวลาของอาหารปากค่ะ เดินทะลุสวนคันนอนซากิไป 15 นาที ก็เจอแล้วมื้อเที่ยงของพวกเรา ร้านนี้ชื่อ “Materia” ค่ะ เมนูมีไม่มาก เป็นพวกพิซซ่าหน้าต่างๆ สเต็กไก่ สเต็กปลา สปาเก็ตตี้ ถึงจะน้อย แต่ก็อร่อยทุกเมนูนะ หน้าตาก็น่ากิน ราคาอยู่ที่ประมาณ 1,500 เยน ต่อเซ็ต รวมค่าชมวิวสวยๆริมอ่าวซางามิแล้วค่ะ(:
ครึ่งวันหลังนี่เราจะไม่เดินไปละ เราจะปั่นจักรยานค่ะทุกคน… อย่าเพิ่งงงว่าเห้ย! มันเอาจักรยานมาจากไหนวะ? เสกหรอ? เพราะการปั่นจักรยานในโยโกสุกะ มันไม่ได้ยากอะไรเลย แค่อีเมลล์ไปที่ tour_sales@city.yokosuka.kanagawa.jp เขาจะจัดการให้ทุกอย่าง โดยคิดเราแค่ 50 เยน! ห้า – สิบ – เยน จริงๆ ตาไม่ได้ฝาดแน่นอน
ก่อนจะปั่นไปถึงที่ต่อไป เราขอแวะดูวิว ถ่ายรูปข้างทางหน่อยแล้วกัน
ว่าแล้ววววววววววววววววว ว่าเมืองนี้มันคุ้นๆ ที่แท้ก็เคยเป็นโลเคชั่นถ่ายหนังเรื่อง Jurasic World นี่เอง…
หลอกกกกกกกกกกกก… โยโกสุกะ เป็นเมืองที่ก็อตซิลล่าขึ้นจากน้ำ ในภาพยนตร์เรื่อง Godzilla ค่ะ
สวนเล็กๆข้างร้าน Materia เนี่ยแหละ คือจุดแรกที่ก็อตซิลล่าเหยียบพื้นดินของเมืองนี้ อู้หูววววววววววววววว
ปั่นกันไม่ถึง 10 นาที เราก็มาถึง “ศาลเจ้าคาโนฝั่งตะวันออก (East Kanou Shrine)”แล้วค่ะ ศาลเจ้าคาโนแยกเป็นฝั่งตะวันตก กับฝั่งตะวันออก ถ้าใครใส่เครื่องรางที่ซื้อจากศาลฝั่งตะวันตก ลงไปในถุงใส่เครื่องรางที่ซื้อจากศาลฝั่งตะวันออก แล้วอธิษฐาน สิ่งนั้นจะเป็นจริง! ยังไงล่ะ? แลดูมีกิมมิค แลดูมี story เอ้อ! ไม่จักรยานเข้าไปในศาลนะหนูๆ จอดไว้ข้างหน้า ไม่ก็ซอยข้างๆศาลนะ
อย่างที่บอกไปเมื่อวันก่อนค่ะว่า ไปศาลเจ้าญี่ปุ่นเราก็ต้องทำตามขั้นตอน ไปแค่ซื้อถุงใส่เครื่องรางเฉยๆมันจะไม่งาม
ไหว้ศาลเจ้าเสร็จแล้วค่อยลงมาซื้อนะๆๆๆ
ได้มาละถุงใส่เครื่องราง! ทีนี้ก็ขึ้นเรือข้ามฟาก ไปศาลเจ้าฝั่งตะวันตก
ขึ้นเรือข้ามฟากที่ท่า “อุระกาโนะ วาตาชิ (Uragano Watashi)” ค่ะ อยู่ในซอยข้างๆศาลเจ้าฝั่งตะวันออก บนเรือมีที่จอดจักรยานให้ด้วยแหละ ดีงามมมมมม ค่าบริการ 200 เยน เบาๆ ก่อนลงจากเรือก็อย่าลืมจ่ายตังค์เขาล่ะ เดี๋ยวเขาด่าเอา
ออกจากท่าเรือมา ก็ข้ามถนนไปเดินอีกฝั่งหนึ่งค่ะ แล้วมองซ้ายมือไว้ๆๆ ถ้าเห็นซอยนี้ก็เลี้ยวได้เลยยยยยยยยยย
ถึงแล้วศาลเจ้าคาโนฝั่งตะวันตก ทำตามขั้นตอนการไหว้ศาลเจ้าเรียบร้อย ก็ไปซื้อเครื่องรางมาใส่ถุงเครื่องราง แล้วปิดจ๊อบของวันนี้ด้วยการอธิษฐาน ขอพรกันค่ะ… ลืมบอกไปเลย ค่าเครื่องราง กับ ค่าถุงใส่เครื่องราง อย่างละ 500 เยน นะ อิอิ
จากศาลเจ้าคาโน เสียเงินขึ้นรถบัส 180 เยน จากป้าย “คอนยะโชะ (Konyacho)” ไปลงที่สถานีรถไฟ “เคคิว คูริฮามะ (Keikyu Kurihama)” ค่ะ ถึงแล้วก็ต่อรถไฟไปที่สถานี “YRP Nobi” ค่ารถ 130 เยน ขยับแข้งขยับขาสัก 2 – 3 นาที ก็ถึงที่พักของเราแล้ว แต่ก่อนจะเข้าที่พัก เราไปจัดหนักจัดเต็มที่ร้านอาหารแถวนี้ก่อนดีกว่าค่ะ
ร้านนี้ชื่อ “ยาบุเซน (Yabuzen)” ขายข้าวหมูทอด ข้าวหน้าเทมปุระ มีซาชิมิบ้าง และก็ราเมน ค่ะ
ราคาอยู่ที่ประมาณ 800 -1,500 เยน เราสั่งชุดข้าว กับ หมูทอด ให้เยอะดีนะ รสชาติก็ถือว่าใช้ได้ๆๆๆ
ผ่านไปแล้วสามวัน หมดไปแล้วครึ่งทาง ร่างนี่จะพังค่ะ! อยากจะทิ้งตัวลงเตียงซะเหลือเกิน แต่ไม่ได้ๆๆ เราจะนอนไม่ได้ถ้ายังไม่ได้ถ่ายรูปของที่พักคืนนี้ ว่าแล้วก็ไปดูหน้าตาของ “Sun Cherry” โฮมสเตย์น่ารักๆๆๆ ที่จะให้ความอบอุ่นพวกเราในคืนที่ 3 และ 4 กันเล้ยยยยยยยยยย
ที่นี่มีห้องพักทั้งหมด 5 ห้องค่ะ เป็นห้องสำหรับนอนคนเดียว 3 ห้อง และห้องสำหรับนอน 2 คน 2 ห้อง
โดยเขาจะคิดค่าที่พัก 5,000 เยน / 1 คน / คืน แต่ถ้าจะนอน 2 คน ในห้องเดี่ยว เขาจะคิด 4,600 เยน / 1 คน / คืน ค่ะ
หน้าตาของห้องเดี่ยว…
หน้าตาห้องสำหรับ 2 คน… (ตากล้องรายการน่ารักมั้ยคะ?)
ตกแต่งอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านไม่พอ คุณป้ากับลูกชาย เจ้าของที่นี่ ก็อบอู๊นนนนนนนนนอบอุ่น ดูแลพวกเรายังกับเป็นลูกเป็นหลาน ใครไปพักนี่ ไม่ต้องกลัวเรื่องปัญหาการสื่อสารเลยนะ ทั้งแม่ทั้งลูกเขาพูดภาษาอังกฤษได้ จะว่าไปภาพตอนคุณป้าลงไปนั่งกับพื้น แล้วโค้งขอบคุณพวกเรา 18 ทียังติดตาอยู่เลย น่ารักม๊ากกกกกกกกกกกก
และแล้วก็มาถึงเช้าวันที่ 4 !! ตารางวันนี้มีไม่เยอะค่ะ แค่ 2 ที่ แต่ที่หนึ่งคืออยู่ยาวเลย…
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาหาอะไรลงกระเพาะ แล้วไปลุยกันต่อ
“Tea room café” ร้านกาแฟใกล้ที่พักเนี่ยแหละ ไม่ต้องยุ่งยาก
พวกเราสั่งเครื่องดื่มคนละแก้ว มากินกับโทสต์ ก็ตกคนละประมาณ 1,000 เยน ค่ะ
ซื้อตั๋วรถไฟ 140 เยน จาก “YRP Nobi” ไปลงที่ “เคคิว คูริฮามะ (Keikyu Kurihama)” แล้วเดินต่ออีก 15 นาที “สวน คูริฮามะ (Kurihama Flower Park)” ก็จะอยู่ตรงหน้าของพวกนาย แต่วันนี้เราไม่ได้ไปดูดอกไม้นะ มันหมดฤดูไปแล้ว ใครอยากมาดูดอกไม้สวยๆ อลังๆ บานสะพรั่งเต็มทุ่ง ต้องมานู่นนนน เดือน พ.ค. – ส.ค. นู่น วันนี้ขออนุญาตทำตัวเป็นเด็กแล้วไปนั่งรถไฟ สนุกกับสไลด์เดอร์ในสวนค่ะ
ก่อนไปเล่นสไลด์เดอร์ก็อย่าลืมซื้อที่รองก้นหน่า เดี๋ยวเยินมาและจะหาว่าไม่เตือน…
รถไฟมารับไปทัวร์สวนแล้วววววววววววววววว (ตื่นเต้นกว่าเด็ก 5 ขวบที่รออยู่ข้างๆอีกอ่ะ) ที่นี่ไม่มีค่าเข้า ค่ะ
มีแค่ค่ารถไฟ ไป-กลับ 420 เยน ถ้ามาช่วงมีดอกไม้ นั่งรถไฟนี่คงฟินอ่ะ… มาช่วงนี้ก็มองใบไม้ใบหญ้ากันเพลินๆ
ทั้งสวนก็เห็นอยู่ 2 ดอก เนี่ยแหละ “คาเมเลีย” กับ “ลาเวนเดอร์”
ทันทีที่ถึงสนามเด็กเล่น ตาก็โฟกัสไปที่เจ้าก๊อตซิลล่าตัวนี้เลย สไลด์เดอร์ขวัญใจเด็กๆจากหนังเรื่อง Godzilla
อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ… ขอลื่นสักปื้ดนึงเถอะ… ฟิ้วววววววววววววววววววว
เอ่าแล่วววววววววววววว เครื่องติดแล่วววววววววววววว เล่นมันหมดเลยละกัน!
กฎข้อที่หนึ่งของการมาเที่ยวต่างประเทศนะคะ อยากทำอะไรทำ ตักตวงความสุขไปเลย เพราะไม่มีใครรู้จักเราอยู่แล้ว
คือเป็นสนามเด็กเล่นที่เกินเบอร์มากนะเอาจริง มีทั้งหลุม ทั้งบ่อ มีเชือกให้ไต่ มีบันไดให้ปีน ไหนจะสไลด์เดอร์อีก
รู้สึกเสียพลังงานไปเยอะ ขอไปนั่งพัก เอาเท้าแช่น้ำร้อน ที่ศาลา Foot Spa หน่อยแล้วกันค่ะ
มื้อเที่ยงวันนี้ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล กินในสวนเนี่ยแหละ ร้านอยู่ข้างหน้าสวน ตรงข้ามกับที่เราซื้อที่รองก้นมาเล่นสไลด์เดอร์ ค่ะ
เราสั่งชุดข้าวหน้าทูน่าสับ ราคา 1,200 เยน ไม่เวิ่นเว้อเลยนะ… อร่อยจนต้องร้องขอชีวิต
มาแล้วที่ที่สองของวันนี้ ภูมิใจนำเสนอมากค่ะสำหรับ “ฟาร์ม ซึกุอิฮามะ (Tsukuihama Farm)” จากสวนคุริฮามะ เดินกลับไปขึ้นรถไฟที่สถานีเคคิว คุริฮามะ แล้วซื้อตั๋ว 160 เยน นั่งไปลงสถานี “ซึคุอิฮามะ (Tsukuihama)” จากนั้นรอรถบัสของฟาร์มมารับ แล้วนั่งไปลงที่ฟาร์มได้ฟรีๆเลยค่ะ
จ่ายค่าตั๋ว 1,700 เยน แล้วตรงไปที่เขาปลูกสตอเบอรี่เลยค่ะ จะมีคนดูแลฟาร์มอยู่ เรายื่นตั๋วให้เขา เขายื่นนมข้นให้เรา(เอาไปจิ้มกินกับสตอเบอรี่) แล้วสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ เริ่มขึ้น… กติกา คือ เรามีเวลา 30 นาที กินสตอเบอรี่เท่าไหร่ก็ได้ บอกก่อนว่าลูกหนึ่งมันใหญ่กว่าสตอเบอรี่บ้านเรามาก รสก็หวานล้วนๆ หวานปลอม หวานจีนแดง หวานคลองถมแบบบ้านเรานี่ไม่มีนะ ค่าตั๋วจะคุ้มไม่คุ้มก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วแหละว่าจ้วงได้มากน้อยขนาดไหน ไป้! ลุย!
เพิ่งรู้ว่ากินสตอเบอรี่กับนมข้น มันดีงามสามกะโหลกขนาดนี้
หมดลงแล้วค่ะ 30 นาที ที่ดุเดือด เข้าไป 6 คน นี่ไม่มีใครคุยกับใครนะ แต่ละคนจ้วงเอาจ้วงเอา… high score อยู่ที่ประมาณ 40 ลูก ค่ะยอมมมมมมมมมม ยกมงให้พี่เลยค่ะ ก่อนกลับที่พัก เราแวะเดินห้างตรงสถานีเคคิว คูริฮามะ กันหน่อยดีกว่าเนอะ ไหนๆก็เวลาเหลือละ ค่ารถไป คือ 160 เยน เท่ากับขามา ค่ะ
เดินกันจนเหนื่อยแล้ว เรากลับไปหาอะไรอร่อยๆแถวที่พักกินกันดีกว่า ค่ารถจากสถานีเคคิว คูริฮามะ กลับไป YRP Nobi 140 เยน ค่ะ
ร้านที่เตะตาพวกเราเย็นนี้ คือร้านราเมน “โคะระคุ (Koraku)” คนต่อคิวเยอะซะขนาดนี้ แสดงว่ามันต้องอร่อย! เอาวะ! รอๆๆๆๆ
พอถึงคิว ได้เข้าไปนั่งในร้าน ไอแก๊งคนไทยนี่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเลยนะ สั่งกันคนละชาม สั่งเกี๊ยวซงเกี๊ยวซ่า พอสั่งเสร็จเท่านั้นแหละ หันไปเห็นชามราเมนโต๊ะข้างๆ… ไม่… นั่นไม่เรียกว่าชาม… มันคือกะละมัง… สิ่งที่อยู่ในนั้นไม่ได้เอาไว้กิน… มันเอาไว้อาบ… นี่ก็พยายามปลอบใจตัวเองว่ามันคงไม่ได้ชามใหญ่แบบนี้ทุกเมนูม้างงงงงงงงงงงงงงง… ปรากฏ…
คือชามหนึ่งนี่ใหญ่กว่าหม้อหมูจุ่มบ้านเราอีกอ่ะ! แล้วคนไทยนี่ไม่มีใครกินหมดนะ ถึงมันจะอร่อยมากก็เถอะ กินได้ครึ่งหนึ่งก็ถือว่าเก่งแล้ว คนญี่ปุ่นที่นั่งตรงข้ามคือซู้ดเอาซู้ดเอา บอกเลยค่ะว่ายอม ยอมจริงๆ ราคาอยู่ที่ 700 – 950 เยน ต่อชาม คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เกี๊ยวซ่าเขาก็เด็ด ราคา 300 เยน ค่ะ… คิดเงิน แล้วกลับไปหาคุณป้า Sun Cherry ของพวกเรากัน
เช้าวันที่ 5 แล้วจ้า พรุ่งนี้วันสุดท้ายแล้วววววววววววววววว เต็มที่ดิวะ ไปๆๆๆๆๆ โกๆๆๆๆๆๆๆ
ที่แรกของวันนี้ เป็นเหมือนสหกรณ์การเกษตร ค่ะ ขายผักผลไม้ และของสด ที่มาจากไร่ และ สวนของเกษตรกรโยโกสุกะโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง คือสดแน่นอนอ่ะเอางี้ งั้นเราไปทานมื้อเช้า ที่ “ซุกะนะ กอซโซ่ (Sukana Gosso)” เลยแล้วกันเนอะ
จากสถานี YRP Nobi นั่งรถไฟไปลงสถานี “มิสะคิกุจิ (Misakiguchi)” ราคา 200 เยน ค่ะ แล้วต่อรถบัสไปลงป้าย “โคเนะกิชิ (Konegishi)” ค่ารถ 190 เยน เดินต่ออีก 5 นาที ก็เจอซุกะนะ กอซโซ่แล้วววววววววววว เยยยยยยยย้
เข้าไปก็รู้สึกถึงความสด ความสะอาดเลยแหละ
นี่คือสีธรรมชาตินะไม่ได้โม้…
กะหล่ำปลีใหญ่กว่าหัวเราอีกค่ะทุกคน
งานของแห้งก็มา งานดอกไม้ก็มี
ไปโซนกุ้ง หอย ปู ปลา เถอะ หิวแล้ว!
สำรวจที่นี่จนทั่วแล้ว พวกเราก็เลือกอาหารเช้ามาแชร์กันค่ะ หมดนี่หารแล้วตกคนละประมาณ 1,000 เยน
วิวตอนกินข้าวก็ดีไปอีกกกกกกกกกกกก
กินอิ่มแล้วเราไปต่อกันเลย ออกจากซุกะนะ กอซโซ่ เลี้ยวขวา แล้วเดินมาประมาณ 5นาที ก็จะถึงป้ายรถบัส “นิชิโนะเมะ (Nishinomae)”
นั่งรถไปลงที่ ”โซเรียล ฮิล (Soliel Hill)” ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ค่ารถ 250 เยน ค่ะ
นี่นะ ป้ายนิชิโนะเมะ
ถึงแล้วค่ะโซเรียล ฮิล
ที่นี่ไม่มีค่าเข้าค่ะ ค่าตั๋วจะขึ้นกับกิจกรรมที่เราเลือกทำ ซึ่งกิจกรรมแรกของพวกเรา คือ… เรียนทำพิซซ่า
ฮั่นน่ะ ฟังดูดีมะ? ดูเป็นแม่บ้านแม่เรือน อยู่ไทยนี่ทอดไข่ดาวยังไม่สุกเลยจะไปเรียนทำพิซซ่า โถแม่คุณ
เข้าไปก็จะมีคุณครูมาสอนวิธีทำ แล้วก็ทำให้เราดูก่อนรอบหนึ่งค่ะ
สอนเสร็จเขาก็จะปล่อยให้เราทำเอง แล้วยืนดูเราอยู่ข้างๆ
อุปกรณ์เขาก็เตรียมให้หมดแล้ว ขั้นแรกคือไปล้างมือ แล้วมานวดแป้ง นวดๆๆๆๆ ตีๆๆๆๆ ทำให้มันใหญ่ขึ้น
พอแป้งได้ขนาดที่เราต้องการแล้วก็ทำให้มันเป็นรูปต่างๆค่ะ จะดาว จะหัวใจ หรืออะไรก็ได้ แต่นี่เซฟตัวเอง เอาแค่กลมๆมีหยักพอละ จากนั้นใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มให้ทั่วแป้งของเราค่ะ สักประมาณ 100 ที ก็ได้ ตอนเอาเข้าเตาอบมันจะได้สุกทั่วๆ
ขั้นต่อไป เป็นการแต่งหน้า ค่ะ ข้อควรระวังในขั้นนี้ คือ อย่าเลือกรองพื้นที่ขาวกว่าสีผิวจริง เพราะจะทำให้หน้าลอย อีกอย่างคือการเขียนคิ้ว ต้องเขียนให้รับกับใบหน้าของตัวเอง… ผิด!! เอาซอสมาปาดให้ทั่วแป้งค่ะ แล้วอยากวางไส้กรอก แฮม ชีส มะเขือเทศ ตรงไหนก็ดีไซน์กันเลย ปลุกความอาร์ตในตัวคุณ! แต่แบบเราคือทำขอบชีสก่อนแล้วค่อยปาดซอส
จากนั้นเอาเข้าเตาอบ 9 นาที ได้ออกมาเป็นพิซซ่าหน้าตาน่ารัก… (หรอ?)
ถึงหน้าตาจะธรรมดา แต่รสชาติไม่ธรรมดานะคะ เพิ่งรู้เหมือนกันว่าตัวเองทำอาหารอร่อยขนาดนี้… เดี๋ยวๆๆๆๆ เขาปรุงมาให้แล้ว แค่มาจับนิดจับหน่อยอย่าเหลิง อย่าเหลิง… 1,500 เยน แลกกับความสนุกสนาน ความรู้หน่อยๆ และมื้อเที่ยง ก็ถือว่าคุ้มอยู่ค่ะ หรือถ้าใครอยากทำอาหารอย่างอื่นก็บอกคุณครูเขาได้เลย มีหลายอย่าง หลายราคาค่ะ
ป่ะ! กินเสร็จเราไปเบิร์นกันต่อค่ะ กับกิจกรรม Go Kart ! ค่าตั๋ว Go Kart ราคา 620 เยน / 2 คน / รอบ ค่ะ
รอบหนึ่งก็ไม่นานนะ ประมาณ 10 นาที หรือ ถ้ายิงธนู ก็ 310 เยน / คน / รอบ
ปิดท้ายด้วยการชมความน่ารักของเจ้าจิงโจ้ แกะ แพะ นก และ คาปิบาร่า หรือที่คนไทยเรียกว่า หนูยักษ์
กิจกรรมนี้ฟรีค่ะ นอกจากใครอยากจะให้อาหารสัตว์ ก็หยอดไป100 เยน ต่อ อาหารสัตว์ 1 แคปซูล
ที่สุดท้ายของวันนี้ คือ “สวนอะระซะคิ (Arasaki Park)” ค่ะ สังเกตมั้ยว่ามานี่ 5 วัน เราเที่ยวๆๆๆๆ ลุยๆๆๆๆ กันอย่างเดียวเลย เย็นนี้ขอไปพักผ่อน นั่งดูพระอาทิตย์ตกแบบวิถีสโลไลฟ์หน่อยนะ จากโซเรียล ฮิล เดินเรียบอ่าวไปประมาณ 20 นาที ก็ถึงแล้ว สวนอะระซะคิ
สวนนี้เป็นผาธรรมชาติที่อยู่ริมอ่าวซางามิ ค่ะ วิวคือเด็ดมากกกกกกกกกก ชอบ! อากาศก็ดี
แต่มองไม่เห็นพระอาทิตย์ซะทีอ่ะ เมฆจะเยอะไปไหน
โอมมมมมมมมมมม เมฆจงหาย โอมมมมมมมมมมม พระอาทิตย์จงโผล่…
หลังจากที่สวดมนตร์อ้อนวอนกันเกือบชั่วโมง ท้องฟ้าก็เห็นใจพวกเรา! เยส!
จากจุดชมพระอาทิตย์ตก เดินไป 5 นาที ก็ถึงที่พักในคืนนี้แล้วค่ะ! ใกล้มาก ทางเดินขึ้นที่พักอยู่แถวๆลานจอดรถหน้าสวนอะระซะคิ ที่นี่ชื่อ “ซะกะมิยะ (Sagamiya)” เป็นที่พักสไตล์เรียวกังค่ะ วิวก็คืออ่าวซางามิเนี่ยแหละ ราคา 12,000 เยน / คน / คืน รวมอาหารเช้า และ อาหารเย็น… ช้าอยู่ทำไมล่ะ! รีบเก็บของ แล้วไปกินข้าวเย็นกันดิเห้ย!
เปลี่ยนชุดยูกาตะเสร็จ ก็มานั่งในห้องทานข้าวเลยค่ะ อาหารจะทยอยมาเรื่อยๆ กับข้าวหลากหลายตามสไตล์เรียวกัง
แค่ปลาก็คนละ 3 ตัวแล้ว กลับไทยไปนี่ฉลาดแน่นอน
เป็นคืนที่หลับสบายที่สุดแล้วค่ะตั้งแต่มาทริปนี้ เพราะที่นอนนิ่ม นอนสบายก็ส่วนหนึ่งนะ แต่เพราะอิ่มนี่ส่วนใหญ่เลย
อยากตื่นมาเจอแบบนี้ทุกวัน…
อาหารเช้ารอพวกเราอยู่แล้วค่ะที่ชั้น 1… ไม่เยอะเท่ามื้อเย็น แต่ก็อิ่มกำลังดีค่ะ
ระหว่างรอ check out ก็ไปสำรวจรอบๆที่พักซะหน่อย
ที่แรกของวันนี้ คือ “ซารุชิมะ (Sarushima)” ค่ะ ซารุ แปละว่าเกาะ ชิมะ แปลว่าลิง… “เกาะลิง” นั่นเอง “เกาะ” ในที่นี้เป็นคำนามนะ ไม่ใช่คำกริยา คำกริยามานี่เจ๊งเลยนะ! แต่ก่อนที่เราจะไปรู้จักกับเกาะลิง เราไปดูวิธีการเดินทางกันก่อนค่ะ…
จากซะกะมิยะ เราต้องเดินไปขึ้นรถบัสที่ป้าย “อะระซะกิ” แล้วนั่งไปลงที่สถานีรถไฟ “มิสะคิกุจิ” ค่ารถ 320 เยน จากนั้นนั่งรถไฟไปลงที่สถานี “โยโกสุกะ ชูโอะ” อีก 280 เยน แล้วเดินต่อ 15 นาที ก็จะถึง “ท่าเรือมิคาสะ (Mikasa Pier)” ที่ที่เราต้องมาซื้อตั๋วขึ้นเรือข้ามไปเกาะลิงค่ะ
เรือที่นี่ออกทุกวัน ทุกชั่วโมง ค่ะ แต่ช่วงเดือน ธ.ค. – ก.พ. จะวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ
ค่าตั๋วเรือ ไป – กลับ สำหรับผู้ใหญ่ 1,300 เยน สำหรับเด็ก 650 เยน และนี่คือหน้าตาของเรือค่ะ…
ถึงแล้วววววววววววววววว เกาะลิง น้ำใสมากเลยยยยยยย ใสกว่านี้ก็อากาศแล้ววววววว
จ่ายค่าฝากกระเป๋า 300 เยน แล้วเราไปสำรวจที่นี่กันเถอะวัยรุ่น!
เกาะนี้มีอุโมงค์เยอะเลยค่ะ แต่อันที่เรากำลังจะเข้าไปเนี่ยมีกิมมิคสุด ชื่อว่า อุโมงค์คู่รัก ค่ะ
เขาบอกว่าถ้าคู่ไหนได้มาลอดอุโมงค์นี้จะได้แต่งงานกัน ก็ไม่รู้จริงเปล่านะ เพราะนี่เดินเข้าไปคนเดียวแบบเหงาๆ
ถึงจะชื่อเกาะลิง แต่เกาะนี้ไม่มีลิงนะคะ ที่เขาเรียกเกาะลิง เพราะมันมีตำนานว่า ขณะที่พระสงฆ์รูปหนึ่งกำลังเดินทางฝ่าพายุฝน จาก bousou peninsula ไป คามาคุระ ลิงสีขาวปรากฏตัวขึ้น และนำทางพระมายังเกาะที่ปลอดภัย นั่นก็คือซารุชิมะ เพราะฉะนั้นใครไปเกาะนี้ ไม่ต้องมองหาลิงค่ะ…ไม่มี… แต่ถ้าลิง จั๊ก จั๊ก ก็ไม่แน่… แป่ว!
สำรวจเกาะลิงกันจนหิว พวกเราก็นั่งเรือกลับมาที่ท่าเรือมิคาสะ ค่ะ จากนั้นก็พยุงร่างตัวเองไปจนถึง “Tobu Fish Port”…
คือ ใช้คำว่าเดินไม่ได้แล้วอ่ะจุดนี้ เดินมา 5 วันติดแล้ว ตอนนี้สภาพไม่ต่างจากร่างไร้วิญญาณ
Tobu Fish Port เป็นแหล่งขึ้นปลาที่มากที่สุดของจังหวัด ค่ะ คนที่นี่บอกว่า ภัตตาคารในโตเกียวจะเอาของสดจากที่นี่ไปขายต่อ หรือ ทำเป็นบุฟเฟ่ต์ราคาแพง แต่ที่นี่ขายเราถูกๆ ให้เราปิ้งกินกันสดๆ มีหมดค่ะ กุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึก ซาชิมิ เทมปุระ อยากกินอะไรก็หยิบใส่ตะกร้า จ่ายตังค์ แล้วเอาไปปิ้งที่โต๊ะได้เลย
อื้อหือออออออออออออ คือฟิน หนาวๆอย่างงี้ไม่มีอะไรดีเท่าการกินปิ้งย่างทะเลสดๆแล้วอ่ะ ถือเป็นมื้อที่แก๊งคนไทยเอนจอยสุดมื้อหนึ่งเลยยยย ไม่เคยรู้สึกว่าหอยเป็นหอยขนาดนี้มาก่อน อร่อยมากเว่อร์ ยกนิ้วให้แบบลูกเสือสามัญ… เยี่ยมจริงๆ… เยี่ยมจริงๆ… เยี่ยมจริงๆ…
เสร็จแล้วก็เดินพุงกางกลับมา ที่ “Mikasa Park” ที่ที่เรามาดูเรือรบกันวันแรกไง? จำไม่ได้หรอ?
แต่วันนี้เราไม่ได้มาดูเรือค่ะ เราจะมาดูน้ำพุเต้นระบำ ที่สวนมิคาสะมีน้ำพุเต้นระบำทุกวัน วันละ 4 รอบ คือ 11.00, 12.30, 14.00 และ 15.30 กว่าจะเดินมาถึงสวนก็ 15.25 น. นึกว่าจะไม่ทันดูรอบสุดท้ายซะแล้ว
เอ้า! นี่ก็เต้นแข่งกับน้ำพุเฉยเลย…
จากสวนมิคาสะมองไปเห็นเกาะลิงด้วยนะ
เรามาถึงจุดนี้ได้ไง จุดที่เราจะต้องกลับไทยพรุ่งนี้เช้า…ขอส่งท้ายทริปนี้ด้วยย่านร้านค้าอย่าง “YY Port” เดินจากสวนมิคาสะไป YY Port ใช้เวลาประมาณ 15 นาที งั้นเราไปหาซื้อของฝาก กับ หามื้อเย็นอร่อยๆกิน ก่อนจะขึ้นรถไปโตเกียวกันเถอะ
พวกเราต้องขึ้นรถไฟไปโยโกฮาม่าแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันต่อรถบัสไปนาริตะ ค่ะ(เหมือนขามา) จะว่าไปก็ยังไม่อยากกลับเลย เหมือนเพิ่งได้รู้จักคนดีๆ แล้วก็ต้องแยกย้าย (ง่อวววววว) สำหรับเราโยโกสุกะไม่ใช่แค่เมืองที่น่าไปเที่ยว นางคือเมืองน่าอยู่ น่ามาอยู่นานนานนนนนนนนน นึกภาพดิ ตื่นมาเจออากาศดีๆทุกวัน กินของสดๆทุกมื้อ ไปเดินเล่นริมอ่าวเมื่อไหร่ก็ได้… ทำใจขึ้นรถ โบกมือบ๊ายบายโยโกสุกะ แล้ว 3 ชั่วโมงต่อมาเราก็มาถึง Narita airport hotel ค่ะ
ราคาห้องพักที่นี่ คือ 7,000 เยน / คน / คืน และ 14,000 เยน /2 คน/คืน ห้องก็กลางๆค่ะ บรรยากาศรวมๆดูทึมๆ คงเพราะมีมานานแล้ว แต่มันดีตรงที่อยู่ติดสนามบินเลยเนี่ยแหละ เช้านี้แก๊งคนไทยเลยนั่งบัสฟรีมาสนามบินแบบชิคๆ
เป็นยังไงกันมั่ง? อ่านจบละ เก็บกระเป๋าเลยมะ?55555555 หวังว่ารีวิวนี้คงช่วยให้พวกนายได้รู้จักกับเมืองโยโกสุกะในระดับหนึ่ง แต่! อย่าลืมค่ะ! 10 ปากว่า ไม่เท่าตาเห็น เพราะฉะนั้นไปทำความรู้จักกับเมืองนี้ด้วยตัวเอง ขอบคุณรายการอาริกาโตะ Go I Must ที่ให้บล็อกเกอร์รุ่นผึ้งน้อยอย่างเราไปเที่ยวด้วย ขอบคุณพวกนายที่ติดตามเรื่องราวของเรา แล้วทริปหน้าเราจะพาไปเที่ยวไหน จับตาดูไว้ที่ https://www.facebook.com/BlissOutThere
ขอบคุณค่ะ <3