จบไปทำอะไร? คำถามจากคนรอบข้างที่ชวนให้
คนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรหรืออยากทำอะไร
เครียดและสับสน ยิ่งช่วงใกล้จบมหาวิทยาลัย หรือ
สภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต บางคนไร้ความชอบ
และเป้าหมายที่ชัดเจน ขณะที่บางคนรู้ว่าชอบอะไร
แต่ไม่รู้ว่าความชอบนั้นจะเปลี่ยนเป็นอาชีพอะไรได้บ้าง
บางครั้งสิ่งนี้ก็ทำให้เรานึกย้อนกลับไปในสมัยยังเด็ก
ที่ผู้ใหญ่มักตั้งคำถามกับเด็กๆว่า ‘ โตขึ้นอยากเป็นอะไร ? ‘
นี่เป็นหัวข้อเรียงความของเด็กหญิงวัย 9 ขวบคนหนึ่ง
‘ อยากเที่ยวรอบโลก ‘ เธอตอบคำถามนั้นโดยเขียน
เรียงความไปเต็ม 2 หน้ากระดาษ A4 แต่อาจารย์กลับ
ให้เพียง 6 จาก 10 คะแนน ด้วยเหตุผลว่าเธอเขียนผิดประเด็น
จากวันนั้นเธอรู้เพียงว่าสิ่งที่เธอชอบคือ การท่องเที่ยว
และเท่าที่เธอจำความได้เธอเริ่มไปเที่ยว นั่งเรือรอบทะเล
อันดามันตั้งแต่อายุ 2 ขวบ ขึ้นภูกระดึงตอนอายุ 4 ขวบ
พอโตขึ้น จากเด็กที่พ่อแม่พาไปเที่ยว เธอเริ่มออกเดินทาง
ท่องเที่ยวด้วยตัวเองโดยมีเป้าหมายว่า ใน 365 วัน ต้องไป
เที่ยวในประเทศให้ได้อย่างน้อย 10 ทริป ต่างประเทศ 2 ทริป
ในขณะเดียวกันร้านคาเฟ่และแกลเลอรี่ต่างๆ ก็เป็นสถานที่ที่
สามารถพบปะเธอได้เช่นกัน เธอชัดเจนในเรื่องความชอบ
ของตัวเองแต่กลับเลยไม่รู้ว่าจาก ‘ความชอบ’ เหล่านี้
มันจะกลายเป็น ‘อาชีพ’ อะไรได้
วันนี้เรามาพูดคุยกับเด็กหญิงวัย 9 ขวบคนนั้น หรือ
ปิงปิง พิชญา ภูมิสวัสดิ์ ที่กลายมาเป็นสาววัย 23 ปี
ผู้ที่ได้ทำให้สิ่งที่ชอบกลายเป็นอาชีพและตอบคำถาม
‘ โตขึ้นอยากเป็นอะไร ? ‘ ได้ชัดเจนมากขึ้น เพราะ
ตลอดระยะเวลาหลายปีเธอได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ
ได้ลองผิดลองถูก และก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซน
ของตัวเองเพื่อสิ่งที่ชอบ ด้วยความเชื่อว่า
‘ แค่ได้ออกไปข้างนอกก็มีความสุขแล้ว ’
** อะไรทำให้รู้ว่าการไปเที่ยวเป็นสิ่งที่เราชอบ ? **
เรารู้สึกว่ามันเหมือนเป็นชีวิตประจำวันของเรามากกว่า
อาจเพราะสมัยพ่อแม่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว พวกเขา
ชอบเที่ยวและเที่ยวเก่งมาก เราเลยได้ไปเที่ยวตั้งแต่เด็ก
เที่ยวทุกอาทิตย์เลย และหลายๆครั้งที่พ่อแม่ให้รางวัล
เราเป็นการท่องเที่ยว มันน่าจะซึมซับจากสิ่งเหล่านี้แหละ
ทั้งการเลี้ยงดูและการใช้ชีวิต เป็นแบบนี้มาตลอด
** ชอบเที่ยวแล้วทำไมถึงเลือกเรียนโฆษณา ? **
ตอนแรกที่ตัดสินใจเลือกเรียนในคณะวารสารศาสตร์และ
สื่อสารมวลชนก็ยังไม่รู้จะเลือกสาขาอะไร ระหว่างโฆษณา
กับ วิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งเพื่อนก็บอกว่าเราเหมาะกับ
โฆษณามากกว่าเพราะดูเป็นคนจริงจัง ชอบวางแผน
คงต้องมาสายแพลนเนอร์แน่นอน แต่พอเรียนไปวิชานึง
ก็ไม่เอาแล้ว ไม่ใช่ทาง เลยเปลี่ยนมาสายครีเอทีฟ
เพราะเรารู้สึกว่าชอบเขียนงานด้านนี้มากกว่า
คิดว่าจบไปคงเป็น Copy Writer ในเอเจนซี่โฆษณา
** เป็นไงมาไง ถึงไม่ได้เป็น Copy Writer ในเอเจนซี่ ? **
ในช่วงปี 3 เรามีโอกาสได้ไปฝึกงานด้านโฆษณา
เราก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ดี ทำได้นะ แต่ไม่ได้มีความสุข
เราพบว่าเราเป็นคนไม่ชอบงานออฟฟิศ เรารักงานอิสระมากกว่า
แบบไปนั่งทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องมาคอย suffer
กับบรรยากาศในออฟฟิศ เอเจนซี่ก็ไม่อยากทำ
โฆษณาก็ไม่อยากทำ แต่ตอนนั้นเหมือนตัวเราก็ยังสับสน
เรารู้ตัวดีว่าตัวเองชอบเที่ยว แต่มันจะทำอาชีพได้ไงวะ
** อะไรทำให้ตอบคำถาม ‘ ชอบเที่ยวแล้วทำอาชีพอะไรได้วะ ?’ ได้ **
การไปเที่ยวทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ได้เห็นโลก
ก่อนหน้านี้เราจะจดสิ่งที่เราได้จากการท่องเที่ยวลงสมุดบันทึก
จนเราได้คำแนะนำจากอาจารย์วิชาบริหารท่านหนึ่ง เขาบอก
เราว่าเรื่องราวของเราอาจจะสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้
เพจ BlissOutThere ของเราจึงเกิดขึ้นในช่วง มิ.ย. 58
ไม่นานนักอาจารย์อีกท่านก็แนะนำให้เราเอาเพจมาทำเป็น
โปรเจคจบ ที่มีจุดประสงค์คือ หาว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้
เพจท่องเที่ยวประสบความสำเร็จ ในช่วงที่เราทำโปรเจค
เราก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆว่าทำแบบไหนเวิร์ค แบบไหนไม่เวิร์ค
โดยใช้ความรู้ด้านการสื่อสารมาผนวกกับเรื่องท่องเที่ยว
พอคนติดตามเพิ่มขึ้น ทั้งเอเจนซี่ ที่พัก สินค้า บริการ
ก็เริ่มติดต่อเข้ามาให้ไปรีวิว จุดนี้แหละที่คิดว่าความชอบ
ของเรามันก็หาเงินได้ มันก็ทำเป็นอาชีพได้จริงๆ
** งั้นแรงบันดาลใจในการทำเพจก็มาจากอ.ทั้งสองคน ? **
ไม่เชิงแรงบันดาลใจ มันเหมือนเป็นแรงผลักดัน
ให้เด็กที่ยังไม่รู้อนาคตตัวเองอย่างเรามากกว่า
เราไม่รู้ว่าการชอบเที่ยวกับชอบเล่าเรื่องมันทำอะไรได้บ้าง
ภายใต้ข้อจำกัดที่ว่าไม่ต้องอยู่ในออฟฟิศ
ถ้าวันนั้นพวกเขาไม่พูดให้เราได้ตกตะกอนความคิด
เราคงไม่ได้ใช้ชีวิตกับสิ่งที่เราชอบอย่างทุกวันนี้
และ คงไม่มี ‘Bliss Out There’
เพียงคำพูดของคนหนึ่งที่บอกให้เราลงมือทำ
อีกคนบอกกับเราว่าสิ่งนั้นมันพัฒนาเป็นอาชีพได้
** รู้สึกลังเลบ้างมั้ย ที่ทำอาชีพไม่ตรงสายที่เรียนมาตลอด 4 ปี ? **
สิ่งที่เรารู้ตัวมี 2 อย่าง คือ หนึ่งชอบเที่ยว สองไม่เอาแล้วโฆษณา
เพราะงั้นเราพูดได้นะว่าไม่ได้ลังเลเลย การทำงานไม่ตรงสาย
ถือเป็นการออกจากคอมฟอร์ทโซนอย่างหนึ่งสำหรับเรา
การผันตัวมาเป็นบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวก็ใช่ว่าเราจะเทความรู้
ที่เรียนทิ้งไปซะหมด เพราะเราเอามาประยุกต์ใช้ในงานเยอะมาก
ทั้งการเขียน การสื่อสาร การถ่ายรูป การถ่ายวีดีโอ สิ่งเหล่านี้ทำให้
รู้ว่าจะสื่อสารคอนเทนต์ออกมายังไง ทำให้งานของเราออกมาดีขึ้น
** ครอบครัวคิดยังไงที่เราตัดสินใจทำอาชีพ
บล็อกเกอร์ตั้งแต่เรียนจบแล้วเมินงานประจำ ? **
ตอนเราบอกแม่ เราถึงกับต้องนั่งจับเข่าคุยกันเลย
ด้วยความที่พ่อแม่เราอายุมากและพวกเขาเกิดในยุค
ที่ไม่เข้าใจว่าอาชีพหรือสิ่งที่เรากำลังทำมันหาเงินได้
แม่มองว่ามันไม่มั่นคง เขาบอกให้เราลองทำสนุกๆ
หรือทำเป็นอาชีพเสริมแทน แต่เรามุ่งมั่นกับสิ่งนี้
เราว่าเราเจออาชีพที่ลงตัวแล้วอะ เลยเสนอแม่ว่า
‘ ขอเวลา 6 เดือน ถ้าครบ 6 เดือน ปิงยังไม่ได้เงินเดือนละ
25,000 บาท ปิงจะกลับไปทำงานประจำ ’ สุดท้าย
เราก็พิสูจน์ตัวเองได้ และทำมาเรื่อยๆ จนตอนนี้
ก็ 3 ปีแล้ว รายได้เพิ่มขึ้น รายจ่ายก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
เพราะมีน้องๆอีก 3 คน เข้ามาช่วยขับเคลื่อน
เพจ Bliss Out There ถึงจะเหนื่อย แต่ปิงก็มีความสุข
ที่ได้เห็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา เติบโต
** แล้วรีวิวของปิงปิงมีวิธีเล่าไปในแบบไหน ? **
ก่อนหน้านี้เราบันทึกสิ่งที่ประทับใจ หรือ สิ่งที่ได้เรียนรู้
จากการท่องเที่ยวลงสมุด พอมีเพจ Bliss Out There
มันก็กลายเป็นบันทึกของเราโดยปริยาย รีวิวของเรา
เลยไม่ได้ให้ข้อมูลอย่างเดียว พอจบแต่ละทริปเราก็
จะกลับมาเขียนเลย เรื่องราวมันจะสดและมีชีวิต
ส่วนคาแรกเตอร์ของเพจก็เหมือนคาแรกเตอร์ของเรา
เน้นเที่ยวแบบชิลๆ เน้นไลฟ์สไตล์ เน้นแรงบันดาลใจ
** เมื่อต้องสวมบทบล็อกเกอร์รับจ้างรีวิว
ในเรื่องของการเขียนคอนเทนต์ถูกจำกัดมั้ย ? **
เราไม่รู้สึกว่าการที่เขามาจ้างมันตีกรอบอะไรนะ ก็มีบ้าง
แต่ส่วนใหญ่คนที่มาจ้างจะรู้ว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพอิสระ
การที่เขามากำหนดว่า ต้องเขียนแบบนี้ ถ่ายแบบนี้
บางคนก็ยอม แต่อย่างเรา เราเขียนตามความรู้สึก
และประสบการณ์ที่เราได้จริงๆ ไม่ได้รับทุกงาน
เพื่อไม่ให้สูญเสียความเป็นตัวเราและตัวเพจไป
** จะทำยังไงเมื่อภาวะการแข่งขันในอาชีพสูงขึ้น ? **
เราค่อนข้างกดดันเพราะการแข่งขันในอาชีพบล็อกเกอร์
มันสูงขึ้นมาก จากที่แต่ก่อนบล็อกเกอร์ต้องแข่งขันกันเป็น
คู่แข่งทางตรง ทำให้คนติดตามมากและยอดไลค์สูง
เพื่อให้ลูกค้าติดต่อเข้ามา แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว
เพราะเรากำลัง ‘ อยู่ในยุคที่ใครๆ ก็ทำเพจได้ ‘
ลูกค้าจึงให้ความสำคัญกับเพจที่มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน
ตรงกับสินค้าหรือบริการเขามากกว่า ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือ
แสดงความเป็นตัวเองมากที่สุด มีจุดยืนทั้ง image และ
รูปแบบการนำเสนอ ถ่ายทอดมันออกมาในงาน
อย่าสูญเสียความเป็นตัวเอง เพราะสุดท้ายคนที่มาตาม
เขาตามเพราะเขาชอบเรา เราต้องชัดเจนในแนวของตัวเอง
** อาชีพที่ดูผิวเผินเหมือนจะง่าย แต่ไม่เลย
เคยมีภาวะ Passion หมดบ้างมั้ย ? **
อาชีพไหนมันก็ต้องเหนื่อยทั้งนั้นแหละ
แต่ Passion ของเราในอาชีพนี้ยังไม่หมด
เพราะเราได้ทำงานที่เรารัก ถึงจะเหนื่อยเราก็อยากทำ
มันเป็นความสุขที่ไม่เคยมีในการเรียนโฆษณาตลอด 4 ปี
เราไม่ได้อยากตื่นมาทุกวันเพื่อคิดก๊อปปี้ (หัวเราะ)
แต่เราอยากตื่นมาทำเพจทุกวัน ทั้งที่เราไม่รู้เลย
ด้วยซ้ำว่ามันจะหาเงินได้หรือไม่ได้
** คิดว่าอนาคตของบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวจะเป็นไปทิศทางไปทางไหน ? **
เราเชื่อว่ามันยังไปได้อีก เราได้เห็นบล็อกเกอร์คนอื่นๆ
ประสบความสำเร็จและก้าวหน้าด้วยอาชีพนี้ อย่างเพจท่องเที่ยว
ที่เราว่าประสบความสำเร็จที่สุดในประเทศไทยตอนนี้คือ
เพจ ‘ แบกกล้องเที่ยว ‘ เราติดตามพี่เขาตั้งแต่เขาเริ่มทำ 2 คน
จนตอนนี้เขาจดทะเบียนบริษัท มีเงินจ้างลูกทีม และ
ส่งต่อแรงบันดาลใจดีๆในวงการบล็อกเกอร์ มันยิ่งทำให้
เรามั่นใจว่าสิ่งนี้มีมูลค่า คนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้เว้ย ฮ่าๆ
** ทำไมต้อง Bliss Out There ? **
พอเริ่มทำเพจก็คิดว่าชื่ออะไรดี ตอนนั้นเราชอบคำว่า ‘ Bliss ’
ที่แปลว่าความสุข Bliss เป็นความสุขอีกเลเวล
ยิ่งกว่า Happiness นะ มันคือการบวก Passion เข้าไป
แต่ทีนี้ชื่อเพจมันจะ bliss อย่างเดียวไม่ได้
มันไม่สื่อสารถึงการไปเที่ยว เราเลยเติมคำว่า
‘ Out there ’ ที่แปลว่า ข้างนอกเข้าไป เพราะสำหรับเรา
ความสุขอยู่ข้างนอก แค่เราได้ออกไปข้างนอกก็มีความสุขแล้ว
** คาดหวังให้คนที่ติดตามเราได้อะไรจาก
การติดตามเรื่องราวท่องเที่ยวของเราบ้าง ? **
เราไม่ได้คาดหวังให้คนที่มาติดตามเราไปเที่ยวที่นู่นที่นี่
ตามที่เราไป แต่เราอยากให้เขาได้ไปในที่ที่เขาอยากไป
ได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าคนอื่น
จะคิดยังไง ควรหรือไม่ควร เหมาะหรือไม่เหมาะ สุดท้าย
เราต้องรู้ตัวเองและกล้าที่จะทำอะไรสักอย่าง
เราไม่ได้อยากให้เขาไปเที่ยวแบบเรา เราอยากให้เขา
ทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองมีความสุข นี่เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่า
คำว่า bliss ของเรามันสำคัญ ถ้าคนที่มาติดตามเรา
มีความสุขและ Passion ในการทำอะไรบางอย่าง
ถึงจะมีความสุขแบบ Bliss Out There
— เขียนและสัมภาษณ์โดยนางสาวชนัดดา ตันนพรัตน์
ประกอบวิชา JC318 การเขียนสารคดี คณะวารสารศาสตร์
และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ —