แชร์ประสบการณ์เรียนต่อที่ ‘ ซิดนีย์ – ออสเตรเลีย ’ 2 ปี

แชร์ประสบการณ์เรียนต่อที่ ‘ ซิดนีย์ – ออสเตรเลีย ’ 2 ปี

เวลาผ่านไปเร็วมาก.. เร็วแบบตกใจ..

หลังจาก 1 ปี 10 เดือน ใน “ซิดนีย์”

ทำให้เรารู้สึกว่า เราเปลี่ยนเป็นคนละคน

จากเด็กที่กลัวจะเรียนไม่ได้ ไม่มีความมั่นใจ

กลายเป็นเด็กที่เรียนและทำงานไปด้วยได้ 2 งาน

แบบเกรดไม่ตก จากงานเสิร์ฟ งานขายของ

ฝึกงานไม่ได้เงิน สู่งานครีเอทีฟในออฟฟิศ

จากเช่าห้องเล็กๆอยู่กับคนอื่น มีปัญหาวุ่นวาย

กลายเป็นแชร์บ้านกับเพื่อนแฮปปี้ จากที่เคย

แคร์ว่าคนอื่นจะมองเรายังไง กลายเป็น

ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้เรามีความสุข…

 

บทความนี้คือไดอารี่เล็กๆ

เรารวมสิ่งที่เราอยากส่งต่อ ให้คนที่กำลังจะมาเรียน

หรือเรียนอยู่ที่ซิดนีย์ / ออสเตรเลีย “มันคือสิ่งที่

เราคิดว่า ถ้าเรารู้ก่อนจะย้ายมาที่นี่ ก็คงดีนะ”

หวังว่าจะจุดประกาย หรือเติมไฟให้ใครได้บ้าง :’)

 

2018-08-14 03.01.10 1

 

Highlights ( เลือกอ่านแค่บางส่วนก็ได้นะ :-} )

  • วิธีหาบ้าน (การเช่าบ้านมีกี่แบบ? ข้อดี ข้อเสียของแต่ละแบบ? ควรเลือกบ้านจากอะไร?)
  • วิธีหางาน (เริ่มหางานยังไง จากไหน? ตัวอย่างเรซูเม่ และ คำแนะนำ)
  • ระบบการศึกษา (เรียนที่นี่ต่างจากที่ไทยยังไง? คำแนะนำในการเตรียมตัว และ ปรับตัว)
  • ซิดนีย์ ในแบบที่ไม่ได้คิดไว้ **
  • ไม่ว่าใครจะพูด/มองเรายังไง อย่าลดคุณค่าของตัวเอง
  • ขอบคุณทุกประสบการณ์ที่เข้ามา ไม่ว่าจะเล็ก/ใหญ่ ร้าย/ดี
  • รวมลิงก์รีวิว ทริปต่างๆในออสเตรเลีย <3
  • เราในวันที่เหยียบซิดนีย์ครั้งแรก กับ เราในวันนี้

 

1. วิธีหาบ้าน

 

การเช่าบ้านมีกี่แบบ ? ข้อดี ข้อเสียของแต่ละแบบ ?

 

เรื่องแรกที่คนจะมาเรียนนึกถึง ก็คงไม่พ้นเรื่องบ้านค่ะ

การเช่าบ้านที่นี่ ต่างกับที่ไทยตรงที่ เราจ่ายค่าเช่าเป็น

รายสัปดาห์หรือ 2 สัปดาห์นะ ไม่ใช่รายเดือน กับ

ราคาบ้านมีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับขนาดของห้องที่

เราเช่า จำนวนคนที่แชร์บ้านกับเรา โลเคชั่น ฯลฯ

ปิงแบ่งวิธีเช่าบ้านในซิดนีย์ ให้เข้าใจง่ายไว้ 2 แบบ

แบบแรก คือ เราเช่าห้องๆหนึ่ง จากคนที่เค้าเช่าบ้าน

หรืออพาร์ทเม้นต์นั้นอยู่แล้ว ยกตัวอย่างนะคะ นาย A

เช่าอพาร์ทเม้นต์ 3 ห้องนอน นาย A อยู่กับแฟน 1 ห้องนอน

ปล่อยอีก 2 ห้องนอน ให้คนอื่นมาเช่า โดยใช้ส่วนกลาง

ร่วมกัน เก็บค่าเช่า รวมค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต

ป.ล. ประเทศนี้ไม่มีค่าน้ำเด้อ

 

ข้อดี : จ่ายครั้งเดียวจบ, บ้านหรือห้องเช่าแบบนี้หาง่าย

ข้อเสีย : เราอาจจะไม่เข้ากับคนที่ให้เช่า หรือ คนอื่นในบ้าน,

ไม่ค่อยเป็นส่วนตัว จะพาใครมาต้องขอคนที่ให้เช่าบ้านก่อน,

แพงกว่าการเช่าแบบที่สองค่ะ (อยากรู้ก็ต้องเลื่อนอ่านต่อ อิอิ)

 

บ้านเช่าแบบนี้ หาได้ตามเว็บไซต์ หรือ กลุ่มเฟสบุ๊ค

ของคนไทยในซิดนีย์ค่ะ ปิงบอกชื่อเว็บกับกรุ๊ปไว้ให้

คร่าวๆใน vlog ตัวนี้ https://www.facebook.com/111476199189252/videos/686385115216784/

นี่เป็นรูปห้องที่ปิงเคยเช่าอยู่ กับคนไทย ในย่าน

newtown ค่ะ ใกล้ตัวเมืองเลย เป็นห้องเดี่ยว แชร์ห้องน้ำ

กับอีก 3 คน ราคา $240 / วีค รวมค่าไฟ ค่าเน็ต

 

20180927_143319

20180530_174656

20180530_1747161

 

มาแย้ววววววว การเช่าบ้านแบบที่สอง นั่นก็คือ

การเช่าบ้านหรืออพาร์ทเม้นต์จากเจ้าของบ้าน

โดยผ่านเอเจนท์ทั้งหลาย ก็คือเราเช่ามาทั้งบ้าน

หรือทั้งห้องเลย อยู่กันเองกับเพื่อน แฟน ญาติ

ถ้าห้องเหลือ อยากปล่อยให้คนมาเช่าก็แล้วแต่

ซึ่งเราจะต้องทำสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษร

และส่วนใหญ่เป็นสัญญา 6 หรือ 12 เดือนค่ะ

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ สำหรับคนที่ไม่เข้าใจ

นาย A มีบ้าน 2 หลัง นาย A และครอบครัว

อยู่บ้านหลังที่หนึ่งและปล่อยบ้านหลังที่สอง

ให้คนอื่นเช่า โดยให้เอเจนท์จัดการ หาคนมาเช่า

และแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ ปิงกับเพื่อนไปเช่าบ้าน

หลังที่สองของนาย A ปิงกับเพื่อนอยู่บ้านหลังนั้น

และจ่ายค่าเช่าจนกว่าสัญญาจะหมด

 

ข้อดี : ค่าบ้านถูกกว่าการเช่าแบบแรก,

มีความเป็นส่วนตัวกว่าบ้านเช่าแบบแรก,

ได้อยู่กับคนที่เราสนิทและไว้ใจได้,

ถ้าห้องเหลือสามารถปล่อยเช่า ทำกำไรได้

ข้อเสีย : ขั้นตอนในการหาบ้าน ไปดูบ้าน

และยื่นเอกสาร ยากกว่าแบบแรก,

ต้องจ่ายค่าไฟ ค่าเน็ตแยก, ต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์

บางอย่างเข้าบ้านเอง และ ขายต่อถ้าจะ

ย้ายเมือง หรือ กลับไทย หรือ ต้องจ้างรถใหญ่

มาขน ถ้าจะย้ายบ้าน

 

เว็บไซต์หลักๆที่คนใช้หาบ้านแบบนี้คือ

https://www.domain.com.au/ กับ

https://flatmates.com.au/ ตอนนี้ปิงก็เช่า

บ้านแบบนี้อยู่กับเพื่อนอีก 2 คนค่ะ สัญญาหมด

ไปแล้ว 1 ปี แล้วปิงต่อสัญญาอีกครึ่งปี บ้านมี

3 ห้องนอน ตกคนละ $170-180 / วีค

บ้านอยู่ย่าน Roseville ฝั่งเหนือค่ะ

เข้าไปดู vlog ตอนปิงย้ายบ้านได้ที่ลิงก์นี้

https://www.facebook.com/111476199189252/videos/2033543976680761/

นี่รูปบ้านที่ปิงอยู่ตอนนี้ค่ะ ฮี่ๆ >//<

ป.ล. ตู้เสื้อผ้านั่นแค่ครึ่งเดียวนะ

 

20181209_191418

20181209_191451w2

20181209_191512

20181209_191504

 

ควรเลือกบ้านจากอะไร ? 

( ความเห็นส่วนตัวนะ ไม่มีถูกผิด )

  1. เลือกอันที่เราเดินทางสะดวก ใกล้ที่เรียน / ที่ทำงาน
  2. เลือกอยู่ในย่านที่มีร้านอาหาร ร้านขายของ ซุปเปอร์มาร์เก็ต
  3. เลือกที่เหมาะสมกับงบที่เรามี (ถ้าถูกมาก แต่ต้องเดินทางเป็นชั่วโมง หรือเดินทางหลายต่อ เราอาจจะเหนื่อย หรือ เสียค่าเดินทางเยอะ)
  4. เลือกบ้านที่เราอยู่แล้วสบายใจ (ความสบายใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนแค่มีที่นอน ก็สบายใจแล้ว บางคนต้องการความสงบ ความสะอาด อย่ามองข้ามเรื่องพวกนี้เวลาเราเลือกบ้าน เพราะมันจะมีผลกับเราในระยะยาวจ่ะ)

 

2. วิธีหางาน

 

เริ่มหางานยังไง จากไหน?

 

ได้บ้านแล้ว เรื่องสำคัญต่อไป ก็คือเรื่องงานค่ะ

เรามาเรียนก็จริง แต่เราก็อยากทำงาน part-time

เพื่อช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ กับหา

ประสบการณ์อ่ะเนอะ คำถามที่ปิงเจอบ่อยมาก

ที่สุดคือ “งานที่ซิดนีย์หายากมั้ย?” คำตอบคือ

ไม่ยากเลยค่ะ… และที่นี่ก็ไม่ได้มีแค่งานเสิร์ฟ

งานเชฟ ในร้านอาหาร แต่มีงานอื่นๆอีกเยอะ!

ทั้งงานคาเฟ่ บาริสต้า งานขายของ งานโรงแรม

รับจ้างส่งของ รับทำความสะอาด นักดนตรี ฯลฯ

คำถามต่อไปคือ “เริ่มหางานยังไง จากไหน?”

ปิงรวมเว็บไซต์ที่ใช้หางาน ทั้งของคนไทย

และ คนต่างชาติ มาให้ ลองดูค่ะ

http://www.natui.com.au/

http://www.sydneythai.info/

https://www.seek.com.au/

https://au.jora.com/

ถ้าเป็นกรุ๊ปเฟสบุ๊คจะมีคนมาโพสต์หาคน

ทำงานเรื่อยๆ ลองเสิร์ชหากรุ๊ปด้วยการใช้

Keyword ดูค่ะ อย่างคำว่า “คนไทยในซิดนีย์”

“หางานในซิดนีย์” “Jobs in Sydney”

หรือใครมีร้านที่อยากทำ ใกล้ที่พัก

ก็เอาเรซูเม่ไป walk-in เลยก็ได้จ้าาาาา

 

รูปสมัยทำร้าน takeaway อิ_อิ

 

20180706_2024381

 

รูปที่ทำงานปัจจุบันฮับบบบบ :”)

 

2019-10-11 10.21.54 1

2019-09-28 06.52.42 2

 

ตัวอย่างเรซูเม่ และ คำแนะนำ

 

ก่อนอื่น ขอบอกก่อนว่า ปิงแนะนำจาก

ประสบการณ์ส่วนตัวของปิง ปิงไม่สามารถ

ฟันธงได้ว่าเรซูเม่แบบไหนจะทำให้ทุกคนได้

หรือไม่ได้งาน เพราะแต่ละงาน ต้องการคุณสมบัติ

ที่ต่างกัน และนายจ้างแต่ละคนก็มีความไม่เหมือนกัน

แต่ที่ปิงคอนเฟิร์มได้คือ เรซูเม่เป็นประตูด่านแรก

ที่จะพาเราไปสู่งาน มันคือสิ่งที่เค้าใช้ตัดสินเรา

ก่อนจะเห็นเราทำงานซะอีก เพราะฉะนั้น มันต้องดูดีค่ะ!

(ปิงเคยทำเสิร์ฟร้านไทย ร้านfine dining ของฝรั่ง

เคยขายข้าวกล่อง takeaway ขายเสื้อผ้าในห้าง

และตลาดนัด เคยฝึกงานบริษัทอีเว้นท์ และตอนนี้

ทำ content creator ให้บริษัทของคนไทยที่นี่ค่ะ)

 

ปิงแนะนำให้ 2 แบบและกัน

แบบแรก สำหรับคนที่อยากทำงานกับคนไทย

หรือกับชาวต่างชาติ แต่ว่าเป็นงานที่ไม่ซีเรียส

หรือเป็นองค์กรใหญ่ เช่น ร้านอาหาร คาเฟ่

ร้าน takeaway ฯลฯ เราสามารถออกแบบ

เรซูเม่ได้ตามใจชอบ เอาที่ดูแล้วเป็นเรา

ทั้งสี ทั้งการตกแต่ง และ รูปถ่าย แต่ว่า

การจัดเรียงก็ยังต้องเป็นระเบียบ อ่านง่าย

กับมีข้อมูลสำคัญครบถ้วน อย่าง ชื่อ นามสกุล

เบอร์ติดต่อ อีเมล ประวัติการศึกษา ประวัติ

การทำงาน และ ประสบการณ์อื่นๆ

 

ตำเตือน : เขียนทุกอย่างให้สั้น กระชับ

อย่าเขียนวนไปวนมา หรือ ติดกันเป็นพืด

ใช้ bulltet point เพื่อช่วยให้อ่านง่ายขึ้น

อันนี้คือเรซูเม่ที่ปิงเคยใช้หางาน กับเคย

รับจ้างทำเรซูเม่ให้คนไทยในซิดนีย์ค่ะ

 

RESU2

mon resume

 

แบบที่สอง เรซูเม่สำหรับคนที่อยากทำงาน

ในองค์กร หรือ อยากทำงานกับคนออสเตรเลีย

อันนี้ปิงได้ข้อมูลมาจากแผนกหางานที่

มหาลัยฯของปิงนะคะ คือ เค้าไม่ต้องการ

ให้เราใส่รูปลงไปในเรซูเม่ค่ะ ใช่..

อ่านถูกแล้ว ถ้าจะสมัครงานบริษัทออสฯ

ไม่ควรใส่รูป กับถ้าไม่ใช่บริษัทด้านดีไซน์

ไม่ต้องตกแต่งเรซูเม่เลยก็ได้ เป็นกระดาษ

A4 สีขาว ตัวหนังสือสีดำ ฟ้อนต์เรียบๆ

แค่จัดวางให้สะอาดสะอ้าน อ่านง่ายก็พอแล้ว

กับควรแนบ cover letter / จดหมายสมัครงาน

ไปด้วย เพราะคนที่นี่เค้าสนใจที่ประสบการณ์

และความสนใจของเรามากกว่าค่ะ

นี่เป็นตัวอย่างเรซูเม่ที่ปิงใช้ยื่นสมัครร้าน

fine dining กับบริษัทอีเว้นท์ที่นี่ ลองดู

 

20200315_163858

20200315_163920

 

 

3. ระบบการศึกษา

 

เรียนที่นี่ต่างจากที่ไทยยังไง?

 

ขอเล่าให้ฟังคร่าวๆว่าตอนอยู่ไทย ปิงเรียนป.ตรี

ที่คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัย

ธรรมศาสตร์ ซึ่งปิงเรียนเอกโฆษณาค่ะ วิชาในเอก

ส่วนใหญ่จะวัดผลจากงานออกแบบโฆษณา

อย่าง story board, โบชัว, ad banner, presentation

ส่วนวิชาในคณะก็จะวัดผลด้วยการสอบเป็นหลัก

มีงานกลุ่มบ้าง ส่วนวิชาบังคับมหาลัย ไม่ต้องพูดถึง

สอบอย่างเดียวจ่ะ จะแบบเขียน / แบบ choice ก็ว่าไป

 

ส่วนที่ปิงมาเรียนที่ซิดนีย์คือ ป.โท บริหารการ

โรงแรม ของโรงเรียนที่ชื่อว่า Blue Mountains

International Hotel Management School

เป็นส่วนหนึ่งของ Torrens University ค่ะ

การวัดผลมีหลายแบบมาก เทอมแรกจะมีวิชา

ปฏิบัติ เช่น ต้องไปเรียนการบริการในร้านอาหาร

fine dining เรียนเป็น receptionist ในโรงแรม

เรียนเป็น housekeeper ซึ่งพวกวิชาแบบนี้

เค้าจะวัดผลจากการปฏิบัติของเรา ว่าตรงตาม

เกณฑ์ที่เค้ากำหนดไว้มั้ย ส่วนวิชาที่เน้นทฤษฎี

ก็จะมีทั้งสอบ รายงานกลุ่ม และ รายงานเดี่ยวค่ะ

แต่สอบนี่นานน๊านนนนนนน จะเจอที ส่วนใหญ่คือ

เขียนรายงานวนไปๆๆๆ จนมือเปื่อย T_T

 

เขียนรายงานมันยากยังไง ?

  1. มันคือการตอบคำถามเดียว ด้วยคำตอบที่ยาว 3,000 – 6,000 คำ
  2. ในจำนวนคำที่ครูกำหนดมา เราต้องมาคิดว่าจะแบ่งเนื้อหาคำตอบเราเป็นกี่ส่วน แต่ละส่วนมีกี่คำ
  3. ครูไม่ได้ต้องการให้เราเขียนคำตอบเป็นความเรียง แบบอธิบายว่าอะไรคืออะไร แต่ครูต้องการให้เราวิเคราะห์ และ โต้แย้ง องค์ความรู้ที่มีอยู่แล้ว พร้อมกับเสนอแนะอะไรใหม่ๆ
  4. การจะตอบคำถามแค่ข้อเดียวนี้ เราต้องค้นคว้า หาข้อมูลแบบหนักหน่วงมาก เพราะเราไม่สามารถตอบอะไรก็ได้ตามใจเรา สิ่งที่เราตอบต้องมีทฤษฎี หรือ งานวิจัย มาอ้างได้ ว่ามันจริงหรือไม่จริง อย่างไร
  5. รายงานทุกเล่มจะต้องทำบรรณานุกรม เขียนว่าข้อมูลแต่ละอย่างที่เราใส่ลงไปในรายงานเล่มนี้ เอามาจากไหน ใครคือผู้เขียน เขียนเมื่อปีอะไร เราหยิบข้อมูลจากหน้าไหนมา ฯลฯ
  6. และจากข้อ 1 – 5 เราต้องทำมัน ในภาษาอังกฤษ ซึ่งไม่ใช่ภาษาบ้านเกิดของเรา และมันต้องไม่ใช่ภาษาอังกฤษที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน มันคือภาษาอังกฤษแบบวิชาการ

 

นอกจากรายงานแล้ว สิ่งที่ปิงรู้สึกว่าต่างกับ

บ้านเรามาก คือวิธีการกระตุ้นให้นักเรียนพูด

หรือออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ครูสอน

ในห้องเรียน.. สมัยที่ปิงเรียนอยู่ไทย การที่

เด็กจะยกมือถาม ตอบ หรือ เสนอความเห็น

ดูเป็นเรื่องที่แปลกมาก ประมาณว่าใครที่ไม่ใช่

ครูพูด ทุกคนจะหันไปมอง เหมือนคนนั้นมีความผิด

แต่ที่นี่ ยิ่งนักเรียนพูด ถาม เสนอ ครูยิ่งชอบ

ถ้านักเรียนคิดต่างจากครู แบบมีเหตุมีผล

ครูนี่รักเลย เพราะเค้าถือว่าเค้าได้เรียนรู้เรื่องเดิม

จากมุมมองใหม่ๆ มีบางวิชาครูถึงกับแจกบทความ

ให้เด็กในคลาสอ่าน ทุกคนได้บทความไม่ซ้ำกัน

แต่ก็อยู่ใน topic เดียวกัน ครูให้เวลา 20 – 30 นาที

หลังจากนั้น แต่ละคนต้องบอกว่าได้อะไรจาก

บทความที่ตัวเองอ่าน โดยไม่มีการเรียงว่าใครพูด

ก่อนหลัง ถ้ามีคนนึงพูดอยู่ แล้วเราคิดว่าสิ่งที่เรา

ได้จากบทความของเรา สัมพันธ์กับคนที่พูด

เราก็ยกมือ พูดต่อได้เลย และถ้าเราออกนอก

ประเด็น หรือเข้าใจผิด ครูก็จะอธิบาย คือมันเป็น

การเรียนการสอนแบบ 2 ways ซึ่งนี่ชอบมาก :- )

 

แปะรูปสมัยเรียน housekeeping กับบริการ

ในร้านอาหาร ไม่มีรูปโรงเรียนเท่าไหร่เลย ขอโต๊ดเด้อ

 

20181120_111917

20181120_112057

20180804_205955

 

คำแนะนำในการเตรียมตัว และ ปรับตัว

 

คำแนะนำเรื่องการเตรียมตัวที่ดีที่สุด น่าจะเป็น…

“สอบ ielts ผ่านแล้ว ก็ฝึกเขียนต่อไปนะ” ฮ่าๆ

อย่างที่บอกค่ะว่ามานี่ ต้องเขียนรายงานส่ง

เพราะฉะนั้นสกีลการเขียนสำคัญมาก!

ฝึกให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และพยายาม

เพิ่มความยาวของบทความที่เขียนเรื่อยๆ

ส่วนสกีลฟัง พูด ปิงฝึกด้วยการฟังเพลง ฟังข่าว

ดูหนัง ดูซีรีย์ ภาษาอังกฤษ เยอะๆ แบบเลิกดูหนัง

ฟังเพลงภาษาไทยไปเลย ส่วนเรื่องการปรับตัว

อันนี้ต้องใช้เวลา แต่ปิงเชื่อว่า ถ้าเราเลือกโรงเรียน

หรือมหาลัยฯที่ดี เค้าจะมีแผนกที่คอยสนับสนุน

เราอยู่แล้ว อย่างโรงเรียนปิงจะมีบรรณารักษ์

กับนักเรียนกลุ่มนึง ที่เราเอารายงานไปให้ดู

ถามเรื่องโครงสร้าง เรื่องการทำบรรณานุกรมได้

และมีคลาสพืเศษสอนเรื่องการเขียนแบบวิชาการ

โดยฌแพาะเลย ไม่เสียเงินเพิ่มด้วย กับบนเว็บไซต์

ของมหาลัยฯก็มีไกด์เรื่องรายงาน การบ้านให้เรา

เข้าไปโหลดมาอ่านได้ ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วแหละ

ว่าจะขวนขวายขนาดไหน การปรับตัวต้องใช้เวลาค่ะ

แต่เชื่อมั้ย ถ้าเราตั้งใจ ทำไปเรื่อยๆ เรายังไมทัน

รู้ตัว การเขียนรายงาน 3,000 คำก็เป็นเรื่อง

ธรรมดาๆในชีวิตไปแล้ว :- D

 

2019-05-26 08.38.46 1

2019-05-26 09.13.00 1

2019-08-16 05.45.00 1

 

4. ซิดนีย์ ในแบบที่ไม่ได้คิดไว้ **

 

มาซิดนีย์ก็คิดว่าจะได้มาอยู่เมืองฝรั่ง

ได้เรียนรู้วัฒนธรรมของฝรั่ง ได้มีเพื่อนฝรั่ง

สูงโปร่ง ตาโต จมูกโด่ง.. แต่ไม่เลย..

ซิดนีย์เป็นเมืองที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่

เยอะมาก เยอะมากจริงๆ เราเพิ่งรู้ตอนย้ายมา

อยู่ที่นี่ได้สักพักว่าประมาณครึ่งหนึ่งของประชากร

ออสเตรเลีย เป็นผู้อพยพมาจากประเทศอื่น

ทำให้ประเทศนี้ (ไม่ใช่แค่ซิดนีย์) ได้รับภาษา

และวัฒนธรรมที่หลากหลายขั้นสุด

 

แต่วัฒนธรรมที่เรารู้สึกว่ามีอิทธิพลมากๆ

ในซิดนีย์เลยก็คือ วัมนธรรมของชาวเอเชีย

เมืองนี้มีคนจีน คนเกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม

เยอะชนิดที่ว่า ไปเดินเล่นในเมือง ต้องได้ยิน

เสียงคนประเทศเหล่านี้คุยกันตลอด แถมร้านอาหาร

ของประเทศเหล่านี้ก็หาทานง่ายมาก มีแทบจะทุกหัวมุม!

ร้านชานมไข่มุกนี่ขึ้นเป็นดอกเห็ด! ชุมชนคนไทย

ในซิดนีย์ก็ใหญ่มากเล่นกัน ใหญ่ขนาดที่ในเมือง

มีพื้นที่หนึ่งที่เรียกว่า Thai Town เป็นจุดรวมร้านอาหาร

บาร์ ผับ ร้านขายของชำ ซุปเปอร์มาเก็ตคนไทย เอาไว้

ส้มตำ หมูกระทะ เครื่องแกงโลโบ้ ทุกอย่างหาง่าย

จนรู้สึกว่า.. เราขนมาจากไทยทำไมเนี่ย มาซื้อที่นี่ก็ได้!

 

สิ่งที่ต่างจากที่เราคิดไว้อีกอย่างคือ

เราคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็คงมาเรียนปริญญา

ปีสองปี ไม่ก็เรียนภาษาระยะสั้น แล้วทำงาน

part-time แต่ในความเป็นจริง เค้ามาเรียนภาษา

แล้วก็ต่อคอร์สอื่นๆ อย่าง certificate / diploma

ไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้อยู่ที่นี่ได้นานขึ้น และ

ทำงานหาเงินได้มากขึ้น สัปดาห์หนึ่งเค้าไปเรียน

กันแค่ 1 / 2 วัน เท่านั้น ที่นี่มีอาชีพรับจ้าง

ทำการบ้านด้วย งงมากแม่ เหตุผลของคนที่ใช้

บริการส่วนใหญ่ก็เพราะเค้าทำงานหนัก ไม่มีเวลา

หรือไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เพราะไม่ได้เข้าเรียน

ถือเป็นอีกโลกนึงที่เราไม่เคยรู้เลยว่ามีอยู่..

 

ที่แปลกมากคือ ออสเตรเลียเป็นประเทศฝรั่ง

ที่ฉลองปีใหม่ ในฤดูร้อน โดยเฉพาะในซิดนีย์

ช่วงสิ้นปีคือร้อนตับแลบ ร้อนแข่งกับพี่ไทยเราได้เลย

แต่ถึงจะร้อนยังไงฝรั่งเค้าก็ยังตกแต่งบ้านเมือง

ด้วยซานต้าคลอส กวางเรนเดียร์ และ เกล็ดหิมะ

ฝรั่งแต่งตัวเป็นซานต้าไปถ่ายรูปริมชายหาดงี้

จะหาได้ที่ไหนอีก? ฮ่าๆ >//<

 

ยังมีอีกหลายอย่างในซิดนีย์ที่ทำให้ปิงแปลกใจ

ปิงเคยเขียนบทความไว้ ชื่อว่า “ส่งต่อ 10 อย่างที่น่า

จะรู้ก่อนจะย้ายมาอยู่ / เรียน ที่ ซิดนีย์ ออสเตรเลีย “

ลองเข้าไปอ่านกันดูน้า https://tinyurl.com/shl2lgl

รับรองว่าเป็นประโยชน์แน่นอน ฟันธง !!

 

2019-10-06 04.12.43 1

 

5. ไม่ว่าใครจะพูด/มองเรายังไง อย่าลดคุณค่าของตัวเอง

 

อีกอย่างที่ปิงเพิ่งมารู้ หลังจากย้ายมาอยู่ซิดนีย์แล้ว

คือ “ที่นี่คนไทยเยอะมาก” มากแบบมากจริงๆ

มาถึงขั้นที่มีย่านนึงเรียกว่า “ไทยทาวน์” มากถึง

ขั้นที่การหาอาหารไทยทานเป็นเรื่องที่ง่ายสุดๆ

และไม่ใช่รสชาติแค่พอแก้ขัดนะ รสชาติแบบไทยจ๋า

เหมือนกินอยู่ที่ไทยเลยจริงๆ เยอะถึงขนาดที่คนไทย

ด้วยกันเอง สามารถพึ่งพากันได้ โดยไม่ต้องอาศัย

ชาวต่างชาติเลย ที่นี่มีบริษัทส่งของของคนไทย

บริษัท design & printing ของคนไทย ผับของ

คนไทย ฯลฯ แน่นอนว่าคนเยอะขนาดนี้ ย่อมมี

ความหลากหลาย.. คนที่มาที่นี่มี background

ต่างกันค่ะ มาจากหลายจังหวัด ทำงานหลายแบบ

และมีภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบ ต่างกัน

 

ส่วนตัว ปิงเป็นคนที่มองเห็นความสวยงามใน

ความหลากหลายอยู่เสมอ และพยายามที่จะ

เรียนรู้ ทำความเข้าใจความแตกต่าง ถึงบางครั้ง

มันจะยากก็เถอะ แต่มันไม่ใช่ทุกคน ที่เป็นแบบปิง

นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่เกิดขึ้นกับปิงในซิดนีย์

และปิงจำไม่ลืม… อย่างที่เล่าไว้ตอนต้น ว่าปิง

ลองทำงานมาหลายประเภทแล้ว หนึ่งในงานที่

ปิงเคยทำ ( ขอไม่บอกว่างานอะไร ที่ไหน )

ปิงได้ร่วมงานกับคนไทยทั้งหมด ซึ่งเพื่อนร่วมงาน

เกือบทุกคน มาที่นี่ด้วยวีซ่านักเรียน เรียนภาษาบ้าง

เรียน diploma / certificate บ้าง แต่เค้าทำงาน

กันเป็นหลัก วีคนึงทำกัน 60 – 80 ชั่วโมง บางคน

ส่งเงินให้ครอบครัวที่ไทย บางคนจ่ายค่าเรียนของ

ตัวเองที่นี่ ปิงชื่นชนพวกเค้านะ แบบ เห้ย เก่งอ่ะ

คือเราทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะเราต้องเอาเวลาไป

ทำการบ้าน เขียนรายงาน และ การมาเรียนคือเหตุผล

หลักที่เรามาที่นี่ บวกกับเราทำเพจ Bliss Out There

เป็นงานหลักอยู่แล้ว เราต้องเอาเวลาให้ไปเพจด้วย

 

ปิงทำงานที่นั่นแค่สัปดาห์ละ 2 ชิฟ ชิฟละ 8 ชั่วโมง

ซึ่งถือว่าน้อยมากๆเมื่อเทียบกับคนอื่น ปิงเดาว่า

ชั่วโมงงานที่จำกัด เป็นเหตุผลนึงที่ไม่มีใครสอนงาน

อะไรปิงเลย นอกจากงานพื้นฐานแค่ให้เพียงพอ

จะทำงานที่นี่ได้ เวลาผ่านไปเดือนแล้วเดือนเล่า

มีเด็กใหม่เข้ามา เค้าได้เรียนรู้ส่วนที่ไม่มีใครเคย

สอนปิง บางบทสนทนาก็ทำให้ปิงรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้

ตัดสินปิงอยู่ตลอด ว่าปิงเป็นไอลูกคุณหนู

ที่ทำอะไรไม่เป็น นอกจากเรียน มีวันนึงเราคุยกัน

เรื่องค่าเทอม แล้วคนนึงก็พูดกับปิงว่า “ดีเนอะ

อยากมีพ่อแม่เอาเงินฟาดหัวมาเรียนบ้าง”

ด้วยน้ำเสียงประมาณว่า เราไม่มีทางเข้าใจ

ความรู้สึกของคนที่ต้องทำงานหาเงินหรอก

ปิงฟังแล้วปิงก็คิด มันหมายความว่ายังไง ?

การที่พ่อแม่ส่งมาเรียน ออกค่าเรียนให้

มันเป็นเรื่องที่ผิดหรอ ? มันไม่ถูกไม่ควรยังไง ?

ถ้าวันนึงเรามีลูก เรามีความพร้อม

เราไม่อยากสนับสนุนให้ลูกเรียนสูงขึ้นหรอ ?

แล้วการที่เรามาทำงาน part-time เพื่อช่วย

แบ่งเบาค่าใช้จ่าย + หาประสบการณ์

มันไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอ ?

 

ปิงไม่ได้บอกว่าปิงถูก หรือ การที่พ่อแม่

ส่งให้ลูกไปเรียนเมืองนอกเป็นเรื่องที่

ทุกคนควรทำ แต่ปิงคิดแล้วคิดอีก ปิงไม่รู้สึก

ว่าปิงทำอะไรผิด ปิงไม่ได้ทำอะไรให้ใคร

เดือดร้อน ถ้าใครเจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน

ปิงแนะนำให้ ปล่อยวาง เราเปลี่ยนความคิด

ใครไม่ได้หรอก เค้าอยากมองเราเป็นอะไร

ก็ปล่อยให้เค้ามองไป เราแค่รู้ว่าเราทำอะไร

ก็พอแล้ว อย่าลดคุณค่าของตัวเอง แค่เพราะ

คำพูดของใคร ทุกคนเก่งกันคนละแบบ

ทุกคนมีเป้าหมายไม่เหมือนกัน สิ่งที่ต้องเปลี่ยน

ไม่ใช่เค้า ไม่ใช่เรา แต่คือระยะห่างของเรากับเค้า

อย่าแม้แต่เอาเวลาไปนั่งอธิบายให้ใครเข้าใจ

เพราะถ้าเค้ามีความคิดที่มาก และ ทัศนคติที่ดีพอ

เค้าจะไม่ตัดสินคนอื่นตั้งแต่แรก คิดอีกแง่

เราต้องขอบคุณคนกลุ่มนี้ ที่ทำให้เราได้ทบทวน

ตัวเองมากขึ้น ได้มองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของ

ตัวเอง และ เรียนรู้ว่าการตัดสินคนอื่น

ไม่ได้มีผลดีกับใครเลย .

 

2019-09-12 01.20.09 1

 

6. ขอบคุณทุกประสบการณ์ที่เข้ามา

ไม่ว่าจะเล็ก / ใหญ่ ร้าย / ดี

 

ถ้าให้เปรียบเทียบชีวิตเกือบ 2 ปีของปิงในซิดนีย์

ปิงว่ามันเหมือน Roller Coaster หรือรถไฟเหาะ

ในสวนสนุกดีๆนี่เอง ก่อนที่ปิงจะเล่นเจ้าเครื่องนี้

ปิงกลัว ปิงกังวล สารพัด พอเครื่องแล่นไปตามราง

มันก็มีขึ้น มีลง มีช่วงที่ทำให้เราหัวใจวายแบบ

ไม่ทันตั้งตัว และช่วงที่เราเอนจอยกับมันมากๆ

จนหัวเราะออกมาแบบไม่อายใคร ปิงไปสวนสนุก

มาหลายที่ เล่น Roller Coaster มาก็หลายเครื่อง

แต่เจ้าเครื่องที่ชื่อว่า “ชีวิตในซิดนีย์” ปิงจะจำไม่ลืม…

 

เรื่องงาน ก็อย่างที่ปิงเล่า ปิงทำงานร้าน

ขายข้าวกล่อง ขายเสื้อผ้าในห้าง ในตลาดนัด

ปิงเคยเสิร์ฟอยู่ร้าน fine dining อยู่ครึ่งปี

เคยรินไวน์ไม่ลงแก้วลูกค้า จำส่วนประกอบ

ของอาหารที่เสิร์ฟไม่ได้ เคยร้องไห้ตอนเบรค

เคยฝึกงานบริษัทอีเว้นท์กับฝรั่ง ต้องปรับตัว

กับระบบการทำงานและวัฒนธรรมหลายๆอย่าง

เคยลองไปเสิร์ฟร้านไทยเลิกดึกดื่น เจอมาหมด

ทั้งคนที่ชอบตัดสิน คนที่ชอบสอน คนใจกว้าง

คนใจแคบ มีผิดใจกับเพื่อนร่วมงาน มีไม่พอใจ

เจ้านายบ้าง แต่สุดท้ายปิงก็มาได้งานที่ชอบ

ได้ใช้ความรู้และสกีลที่ตัวเองมี ได้ร่วมงานกับ

คนเก่งๆ ในบรรยากาศออฟฟิศที่สุดจะเลิฟ

ปิงนึกย้อนกลับไป แล้วรู้สึกขอบคุณทุกงาน

ที่ปิงเคยทำ เพื่อนร่วมงานและเจ้านายทุกคน

ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต จากคนที่ทำเพจอย่างเดียว

คนเดียว ไม่เคยเข้าใจการทำงานร่วมกับผู้อื่น

ปิงได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง และมันทำให้ปิง

พร้อมสำหรับงานที่ปิงทำอยู่ทุกวันนี้ ใครจะรู้?

ถ้าปิงไม่เคยผ่านงานพวกนั้นมาก่อน วันนี้

ปิงอาจจะไม่ได้มานั่งอยู่ในออฟฟิศนี้ก็ได้ :’) 

 

2019-08-21 08.25.44 1

2020-01-01 09.26.57 2

2019-12-30 12.48.20 2

 

เรื่องสังคม ปิงเหยียบซิดนีย์พร้อมจำนวน

เพื่อนคนไทยแค่หนึ่งคนเท่านั้น ซึ่งเพื่อนคน

ที่ว่า ก็ถือแก้วไวน์อยู่ในรูปด้านบนนั่นแหละ ฮ่าๆ

เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนที่ธรรมศาสตร์แล้ว

แต่เพื่อนคนนี้มาซิดนีย์ก่อนเราประมาณ 2 ปี

พอเรามาถึง ยัง งงๆ กับทุกอย่าง มีอะไรต้อง

เรียนรู้และปรับตัวอีกเยอะ ในขณะที่เพื่อนมีการ

มีงานทำมั่นคง มีเงินเก็บ รู้ที่รู้ทางชนิดที่หลับตา

เดินยังได้55555 ด้วยความที่เวลาชีวิตไม่ค่อย

ตรงกัน ทำให้เราได้เจอเพื่อนไม่บ่อยนัก บวกกับ

ที่มหาลัยฯที่นี่ ไม่มีนักเรียนไทยในรุ่นเลย ทำให้

บางทีปิงก็เหงา อยากมีเพื่อนเม้ามอยในภาษา

เดียวกัน บทสนทนามันจะได้มีรสชาติ..

อย่าเพิ่งเข้าใจผิดค่ะ เพื่อนแก๊งมหาลัยฯที่นี่

ของปิง ดี และ น่ารักมาก ปิงรักพวกนางแบบสุด!

แต่แค่บางทีเราอยากมีเพื่อนคนไทย หรือ เพื่อนที่

ชอบอะไรเหมือนๆกัน มีไลฟ์สไตล์ตรงกันบ้าง

 

จากที่เล่าว่าปิงทำงานนู้นงานนี้ ก็ทำให้สังคม

ของปิงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ปิงมีเพื่อนร่วมงานคนไทย

เคยเช่าบ้านอยู่กับคนไทย แต่ผ่านไปเกือบปี

ปิงไม่มีคนไทยแม้แต่คนเดียว (ไม่นับคนที่บอกว่า

รู้จักตั้งแต่ก่อนย้ายมาซิดนีย์) ที่ปิงคุยเรื่องส่วนตัว

หรือปรึกษาอะไรได้อย่างสบายใจ ไม่มีเพื่อนคนไทย

ที่รู้สึกว่าความคิด ไลฟ์สไตล์ตรงกัน หรือ อยากชวน

ไปเที่ยว ไปกิน ไปดื่ม กันนอกเวลางาน ปิงเหงา

ถึงขั้นบางช่วง ลองชวนคนที่เราไม่ได้รู้สึกสบายใจ

ขนาดนั้นไปเที่ยว แต่พอไปด้วยแล้วก็รู้สึกว่ามัน

ไม่ใช่ จนปิงยอมแพ้ แบบ เออออ ช่างมัน

มีแค่เพื่อนต่างชาติที่ดี จริงใจกับเราก็พอแล้ว!

 

แต่ฟ้าก็เล่นตลกกับเรา ให้เราได้ไปรู้จักคนไทย

ในซิดนีย์กลุ่มนึง เรื่องมันเริ่มจากที่เราไปนั่ง

ทานข้าวที่ร้านไทย แล้วมีนักร้องที่เป็นคนไทย

ร้องเพลงอยู่ ซึ่งเค้าร้องเพราะมาก แล้วก็ร้อง

เพลงสากล แนวที่เราชอบ และไม่ได้หาฟังได้ง่ายๆ

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เราไปคาเฟ่กับเพื่อน ก็เจอ

นักร้องคนนี้เป็นบาริสต้าอยู่ เราก็ทักพี่คนนี้ว่า

ใช่คนที่ร้องเพลงที่ร้าน..รึเปล่า พี่เค้าก็บอกว่าใช่

พอครั้งต่อไป เราไปทานข้าวที่ร้านไทยนั้นอีก

พี่เค้าก็ร้องเพลงอยู่ที่ร้านเหมือนเดิม ตอนเบรค

เค้าย้ายเก้าอี้มานั่งคุยกับเรา คุยกันไปคุยกันมา

เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง ก่อนแยกย้าย พี่เค้าก็ปิด

บทสนทนาว่า “ไว้ว่างๆมากินข้าวบ้านเรานะ”

 

ตั้งแต่วันแรกที่เราไปบ้านพี่คนนั้น เราก็ได้รู้จัก

คนไทยเพิ่มขึ้นอีกหลายคนเลย แล้วแต่ละคน

คือทำอาชีพหลากหลาย เก่งกันคนละทาง

มีทั้งคนเป็นเชฟ บาริสต้า นักร้อง นักดนตรี ฯลฯ

ทุกคนคือแต่งตัว ฟังเพลง แนวเดียวกับเรา

และชวนเราคุย ต้อนรับเราอบอุ่น สนุกสนานมาก

เดี๋ยวก็ทำกับข้าวกินที่บ้านบ้างแหละ ไปกินเบียร์

กันข้างนอกบ้างแหละ หาวันว่างๆไปถ่ายรูปเล่น

บ้างแหละ และที่ปิงชอบมากคือคนกลุ่มนี้

สนับสนุนกันและกัน ไม่มีใครตัดสินใคร มีแต่

ยื่นมือช่วยกัน ปิงเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่

เวลาที่ปิงอยู่กับคนไทยกลุ่มนี้ ถึงปิงจะใช้เวลา

เกือบปี กว่าจะได้มารู้จักคนกลุ่มนี้ แต่ปิงรู้สึกว่า

มันคุ้มค่ากับการรอคอยมากๆ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

 

ถ้าคุณเป็นคนนึง ที่รู้สึกไม่ fit in ไม่สังคมไหนๆ

ปิงอยากบอกว่า “โลกนี้ มีที่สำหรับทุกคน..

เราจะได้เจอคนแบบเดียวกัน ในเวลาและ

เงื่อนไขที่เหมาะสม อย่าเพิ่งเหงาหงอย

/ น้อยใจโชคชะตา :- ) ” ขอให้เจอนะ *

 

1970-01-01 10.00.00 73

 

7. รวมลิงก์รีวิว ทริปต่างๆในออสเตรเลีย <3

 

ครั้งนึงได้มาอยู่เมืองนอก จะเอาแต่เรียน ทำงาน

ไม่ออกไปไหนเลย เดี๋ยวมันจะคุ้ม! ในช่วง 1 ปี 10 เดือน

ที่ผ่านมา ปิงพยายามไปเที่ยวที่ๆไม่เคยไปให้ได้

อย่างน้อยทุกปิดเทอม ที่แบบเป็นทริปจริงจังอ่ะนะ

ส่วนในช่วงเปิดเทอม ที่เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย

ก็จะอาศัยสัปดาห์ที่ครูไม่สั่งการบ้าน กับงานเพจ

Bliss Out There ไม่ล้นมือ ไปเที่ยวทะเลในซิดนีย์

ที่นั่งรถไฟ รถบัส หรือ เรือไปได้ ไม่ไกลมาก

บอกตามตรง “ประเทศนี้เป็นประเทศที่สวยงามมาก

ทั้งทัศนียภาพ และ วัฒนธรรม” และทุกครั้งที่ได้ไปเที่ยว

ก็จะรู้สึกว่า ที่เราเห็นนี่ยังไม่ถึง 1% ของประเทศนี้เลย

 

ปิงเขียนรีวิว กับทำ vlog (VDO) ทริปต่างๆ ในออสเตรเลียไว้

ชอบอันไหนก็ลองไปดูกันนะ แปะลิงก์ไว้ให้แล้ว :- D

 

1970-01-01 10

 

เที่ยว ‘ เมลเบิร์น ’ 5 วัน 17 สถานที่ แบบครบรส!

ทั้ง Great Ocean Road, บ้านสีๆที่ Brighton Beach,

Hosier Lane Street Art, คาเฟ่ฮิปๆ และ แลนด์มาร์ค

อีกมากมาย ในทริปเดียว ใครมีแพลนมาเรียน/ทำงาน

ที่ออสเตรเลีย อ่านรีวิวทริปนี้ แล้วมาตามรอยด่วน!

– รีวิว : https://tinyurl.com/yxxpyzop

– Vlog : https://www.facebook.com/111476199189252/videos/358109644820132/

 

1970-01-01 10.00

 

เที่ยว “ รัฐ NSW” 3 เมือง ด้วยงบ 8,XXX บ. (ไม่รวมค่าตั๋ว)

เที่ยวออสเตรเลีย ใช้เงินไม่เยอะอย่างที่คิด

ใช่ค่ะ.. ทุกคนอ่านไม่ผิด… ปิงใช้ไปไม่ถึงหมื่น!

ทริปนี้เที่ยว 3 เมืองค่ะ Meroo, Mudgee, Gulgong

บอกเลยว่าเป็นทริปที่ได้รูปเยอะม๊ากกกกกก :- p

– รีวิว : https://tinyurl.com/rv9zvjn

– Vlog : https://www.instagram.com/p/B6wdkUeHXPG/

 

fewf

 

Day Trip เที่ยวภูเขาหิมะ ปีนึงมีครั้งเดียว >//<

โอ๊มายก้อด มันดีย์! เล่นสกีไม่เป็น ก็ไปฟินกับ

บรรยากาศ ถ่ายรูปสวยๆเก็บไว้เป็นความทรงจำ

หรือจะเช่าบุ้งกี๋ / บอร์ดเล็กๆ มานั่งแล้วไถล

ไปตามเนินเขาก็หนุกดี ปิงจองตั๋วไปกับ

Jumpee Travel รายละเอียดอยู่ในลิงก์จ่ะ

– Vlog : https://www.facebook.com/111476199189252/videos/353182962170279/

 

gekr[p

 

รวม 22 ชายหาด + อ่าว ในซิดนีย์

ตามไปเก็บกันจนกว่าจะครบ :- D

ปิงมีภารกิจตามล่าชายหาดในซิดนีย์

ให้ครบก่อนเรียนจบ ตอนนี้เรียนใกล้จบแล้ว

ดูทรงละ ไม่น่าครบ555555555 หาดที่นี่

เยอะจริงไรจริง แล้วปิงเป็นคนที่ชอบที่ไหน

จะไปซ้ำๆ ก็นั่นแหละ ไปมาทั้งหมดเท่านี้

ไปดูรูปในรีวิว ชอบหาดไหนก็ไปตามรอยเอาจ่ะ

– รีวิว : https://www.facebook.com/BlissOutThere/posts/1076893322647530

 

gew

 

แคมป์ปิ้งที่ Little Beach Campground – NSW

ราคาหลักร้อย(บาท) บรรยากาศหลักล้านไปเล้ยยย

เป็นทริปที่ประทับใจที่สุดตั้งแต่เที่ยวในออสเตรเลียมา

เดินทางหลายต่อนิดนึง ไปถึงแล้วมีแค่ห้องน้ำ ไม่มี

ห้องอาบน้ำ มีเตาบาบีคิวให้ ต้องทำอาหารเอง และ

เอาเต๊นท์มาเอง แต่ทั้งหมดนี้คือประสบการณ์ที่ดี

และแปลกใหม่ พร้อมกับวิวสุดอลังการล้อมรอบเรา

– รีวิว : https://www.facebook.com/BlissOutThere/posts/982845958718934

 

2019-10-08 12.37.51 1

2020-02-23 03.22.08 3

2020-02-16 04.44.41 1

 

8. เราในวันที่เหยียบซิดนีย์ครั้งแรก กับ เราในวันนี้

 

ย้อนกลับไปตอนต้นบทความ ที่ปิงพูดไว้ว่า

เวลา 1 ปี 10 เดือน ในซิดนีย์ เปลี่ยนเราเป็นคนละคน

เราได้ทำในสิ่งที่ เราไม่มีทางได้ทำถ้าเราอยู่ไทย

เราได้เรียนรู้ว่าจริงๆแล้ว เรายังทำอะไรได้อีกเยอะ

เราเรียนรู้ว่าสิ่งที่เราทำมาในช่วงเรียนมหาลัยฯ

หรือก่อนจะมาเรียนที่ซิดนีย์ ไม่ใช่ทุกอย่าง และ

มันไม่ใช่ตัวตัดสินชีวิตเรา แต่มันคือสิ่งที่นำพาเรา

ไปสู่สิ่งอื่น ที่เราอาจจะไม่คุ้น มันอาจจะยากขึ้น

ท้าทายขึ้น แต่มันก็ทำให้เราพัฒนาตัวเอง และ

ค้นพบศักยภาพที่แท้จริงของเรา…

 

เราเคยเป็นคนที่แคร์ว่าคนอื่นจะคิดยังไง

กับสิ่งที่เราทำ หรือ ตัดสินใจ เราเคยกังวล

ว่าเราจะไม่ได้รับการยอมรับ กลัวว่าจะไม่มีเพื่อน

แต่พอเวลาผ่านไป เราก็ได้รู้ ว่าคนที่เป็นเพื่อนเรา

จริงๆ ไม่ว่าเราจะเจอ จะทำอะไร เค้าก็ยังรอรับฟัง

เราอยู่เสมอ เพื่อนไม่จำเป็นต้องมีความเห็นตรงกัน

ในทุกๆเรื่อง แต่เพื่อนไม่เคยตัดสินกัน และเพื่อน

ไม่เคยทำให้อีกฝ่ายต้องสงสัยว่าเค้าห่วงและ

หวังดีกับเราจริงๆรึเปล่า เราเรียนรู้ที่จะเลือกสิ่งที่

ทำให้เรามีความสุขอยู่เสมอ ตราบใดที่เราไม่

ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เราเลือกที่จะหยุดอธิบาย

ตัวเองให้ใครฟัง เพราะเรารู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่

เปิดใจรับฟัง และพร้อมที่จะเข้าใจเรา เราเลือก

ที่จะปล่อยทุกอย่าง และรอดูว่าอะไรจะยังอยู่กับเรา

และ เรา มี-ความ-สุข กับการใช้ชีวิตแบบนี้จริงๆ

 

เราได้รู้ว่าจริงๆแล้ว เราเข้มแข็งขนาดไหน

ตอนที่เราเจอเรื่องไม่คาดคิด เราร้องไห้ ผิดหวัง

เสียใจ และเราคิดว่าเราไม่น่าจะผ่านมันไปได้

แต่เราก็ผ่านมันมาแล้ว เราเคยคิดว่าชีวิตที่

สมบูรณ์แบบ มีแต่ความสุข มีอยู่จริง แค่มัน

ยังไม่ถึงเวลาของเราเท่านั้นเอง แต่จากทุกอย่าง

ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเกือบ 2 ปี เราก็เข้าใจ

ว่าไอชีวิตที่มีแต่ความสุข มันไม่มีหรอก

ชีวิตมีขึ้น มีลงเป็นเรื่องธรรมดา ที่จริงแล้ว

เราต้องขอบคุณช่วงเวลาร้ายๆ ที่ทำให้

ช่วงเวลาดีๆมีความหมายมากขึ้น

 

การมาเรียนต่อที่ซิดนีย์ เป็นหนึ่งในการ

ตัดสินใจที่ดีและถูกต้องที่สุดของปิง

และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ปิงก็จะไม่ขอ

เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ทั้งบ้านที่เคยอยู่

งานที่เคยทำ ผู้คนที่เคยพบเจอ ทุกอย่าง

และทุกคน ทำให้ปิงเป็นปิงในทุกวันนี้

 

สิ่งเดียวที่ปิงอยากรู้ คือ ภาคต่อของ

บทความนี้ ชีวิตหลังรับปริญญา (ใบที่สอง)

ของปิงจะเป็นยังไง ฝากติดตามกันด้วยน้า :- )

 

I’m so grateful for everything

that happened and I can’t wait

to see what the future holds!

 

ก็ตามชื่อบทความแหละ…

ไม่มีอะไรง่าย แต่ก็ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจ ♡

 

ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้

ติดตามปิงได้ตามช่องทางเหล่านี้เล้ย

– Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/BlissOutThere/

– Instagram : https://www.instagram.com/blissoutthere/

– Website : http://blissoutthere.com/

– Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCUbjvyi7bKkCG8dJAdS-DKg/videos?view_as=subscriber

 

:- )

 

 

Comments

comments