เชื่อได้เลยว่านี่จะเป็นรีวิวเที่ยว ‘ คันไซ / Kansai ‘ ในเวลา 5 วัน ที่ครบที่สุด!
คันไซ เป็นภูมิภาคที่มีเสน่ห์มากในญี่ปุ่น เพราะมีสถานที่
ท่องเที่ยวหลายแบบ หลายอารมณ์ ตอบโจทย์ความชอบ
ของนักท่องเที่ยวหลายกลุ่ม ปิงก็เป็นคนหนึ่งที่ตกหลุมรัก
ประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะภูมิภาคคันไซ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว
ที่ปิงมาเที่ยวคันไซ ซึ่งทริปนี้ครบรสกว่าทริปไหนๆ ทั้งเก็บ
landmark ทั่วโอซาก้า ไปเที่ยว Universal Studios Japan
1 วันเต็ม ใส่กิโมโนเดินเล่นในเกียวโต ไป Say Hi น้องกวาง
ที่นารา กินเนื้อในตำนานที่โกเบ และอีกมากมายที่จะเล่าต่อ
ในรีวิวนี้ ปิงเขียนให้หมดแล้วทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย การเดินทาง
ที่พัก ที่กิน ที่เที่ยว และ How to จองกิจกรรมต่างๆในทริป
ยังไง ที่จะช่วยให้เพื่อนๆเที่ยวได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และ
ประหยัดขึ้น ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลยยยยยยยย !! : D
ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นโดยประมาณ *ต่อคน* ( ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน & ค่าช้อปปิ้ง )
1. ค่าห้อง Economy Double โรงแรม Nest Hotel Osaka Shinsaibashi
5 คืน 5,000 บ. ( 2,000 บ. / ห้อง / คืน = คนละ 1,000 บ. / คืน )
2. ค่าเดินทางตลอดทริป 3,220 บ. มาจาก :
– Nankai Line Airport Express ไป-กลับ
สนามบินคันไซ กัน สถานี Namba 650 บ.
– JR-West Kansai Rail Pass 2 days
ใช้วันที่ไปเกียวโต กับ นารา โกเบ 1,190 บ.
– บัตรเติมเงิน ICOCA 640 บ. ( พร้อมเงิน
ในบัตร 1,500 เยน และ ค่ามัดจำบัตร 500 เยน )
– เงินที่เติมในบัตร ICOCA หลังจาก 1,500 เยน
ในบัตรหมด 740 บ. ( 2,570 เยน )
3. ค่าเช่า 4G wifi 678 บ. ( หารกับเพื่อนจากราคา 1,356 บ. )
4. ค่าใช้จ่ายวันที่ไป Universal Studios Japan
3,701 บ. ( ค่าเข้าสวนสนุก 2,279 บ. + ค่ากิน 1,422 บ. )
5. Osaka Amazing Pass ใช้เข้าสถานที่ต่างๆในโอซาก้า 696 บ.
6. ค่าเช่าชุดกิโมโน 1 วันในเกียวโต 842 บ.
7. ค่ากินทุกมื้อ + ของกินเล่นตลอด 5 วัน 3,800 บ.
( 1,300 บ. เป็นมื้อกินเนื้อพรีเมี่ยมที่โกเบ )
8. ค่าใช้จ่ายจุกจิก / Optional 706 บ. ( เพิ่มไอเทมชุด
กิโมโน 490 บ. + เข้าวัด Todaiji 173 บ. + ขนมกวาง 43 บ. )
** สรุป เที่ยวคันไซ 5 วันแบบจัดเต็ม ใช้เงิน 19,321 บ. ต่อคน **
*** ย้ำว่านี่เป็นราคาโดยประมาณ เปลี่ยนแปลงได้ตามอัตรา
แลกเปลี่ยนเงิน ณ วัน เวลาที่เดินทาง และไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน
ไป-กลับ ค่าช้อปปิ้ง/ของฝาก ซึ่งขึ้นกับแต่ละคน ***
โปรแกรมแบบคร่าวๆ 5 วันนี้เราไปไหน ทำอะไรบ้าง?
ปิงถือว่าทริปนี้ปิงใช้เวลา 5 วัน 5 คืนเต็มๆในคันไซ ปิงจะไม่นับวันแรก
เพราะมาถึงก็เย็นแล้ว กว่าจะเก็บของเข้าที่พัก หมดไปแล้ว 1 วัน
เพราะฉะนั้นวันแรกของปิง คือวันที่ไป Universal Studios Japan
วันที่สองคือวันทัวร์รอบโอซาก้า วันที่สามไปเกียวโต วันที่สี่ไปเก็บไฮไลท์
ของนาราและโกเบ ส่วนวันที่ห้าเป็น free day เดินเล่นชิลๆ แวะซื้อของฝาก
ดูสถานที่ที่ไปในรูปด้านบนเลย ^^ ที่เหลือจะอธิบายต่อในรีวิวค่ะ
How to จองกิจกรรมต่างๆในทริปเที่ยวคันไซ 5 วัน แบบจัดเต็ม
การจองล่วงหน้า ทั้งบัตรโดยสารเอย บัตรเข้าชม
สถานที่ต่างๆเอย จะช่วยเราประหยัดทั้งเงินและเวลา
ปิงเพิ่งเจอตัวช่วยใหม่ นั่นก็คือ แอพพลิเคชั่น และ
เว็บไซต์ Klook ที่ให้เราจองล่วงหน้าได้ทุกสิ่งอย่าง
บอกเลยว่าอะไรที่จองก่อนได้ในทริปนี้ ปิงจองผ่าน
Klook หมดค่ะ ทั้ง pocket wifi, บัตรโดยสารแบบเติมเงิน
บัตรเข้า Universal Studios Japan บัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆ
ในโอซาก้า และ จองเช่าชุดกิโมโนในวันที่ไปโตเกียว
ข้อดีของ Klook คือ ใช้ง่าย มีรายละเอียดครบ
และ การันตีราคาที่ดีที่สุดค่ะ ในแอพ/เว็บเค้ามีกิจกรรม
และบริการท่องเที่ยวให้เราจองได้ถึง 4,000 กิจกรรม/บริการ
ครอบคลุมมากกว่า 60 ประเทศ จองปุ๊ป หักบัตร เราก็เอา
ใบจองที่เค้าส่งเข้าอีเมลไปยื่นที่จุดรับบริการได้เลย
เดินเข้าทุกที่แบบสวยๆเริ่ดๆ ไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวค่ะ
อย่างบัตรต่างๆในรูปด้านบนปิงก็จองผ่านลิงก์ตามนี้เลย
บัตรโดยสารแบบเติมเงิน ICOCA https://bit.ly/2KG9cGk
ตั๋วรถไฟไป-กลับ สนามบินคันไซ กับ สถานีนัมบะ https://bit.ly/2rqbGzM
ตั๋ว JR-West Kansai Rail Pas https://bit.ly/2wm7fMc
4G wifi https://bit.ly/2rphZ7w พอถึงสนามบินก็ไปตามเคาน์เตอร์
ที่ระบุไว้ในใบจอง ยื่นใบจอง/QR code แค่นี้ก็เสร็จแล้ว : D
จากสนามบินคันไซ ปิงนั่ง Nankai Line Airport Express เข้าเมืองค่ะ
พอลงสถานี Namba ก็เดินไปต่อรถไฟที่สถานี Nippombashi แล้วนั่ง
สาย Sakaisuji ไปลงสถานี Nagahoribashi ขึ้นจากสถานีมาก็จะเห็น
โรงแรม Nest Hotel Osaka Shinsaibashi เลย ข้ามถนนไปก็ถึงแล้ว
และนี่คือหน้าตาห้อง Economy Double ของเรา ไม่ใหญ่มาก แต่ก็
มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบค่ะ แฮปปี้ : )
Check in เก็บของเรียบร้อย ปิงก็หามื้อเย็นทานแถวที่พักค่ะ
นอนเอาแรงไว้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เรามาเริ่มของจริงกัน หึหึ ; )
DAY 1 : UNIVERSAL STUDIOS JAPAN
วันแรกก็จัดโปรแกรมหนักมาเลยนะ.. 1 วันเต็มๆในสวนสนุกระดับโลก
อย่าง Universal Studios Japan ค่ะ บอกเลยว่าใครมาเที่ยวคันไซ
แล้วไม่มาที่นี่ คือพลาดมาก! ไปจองตั๋วเข้าสวนสนุกได้ที่ https://bit.ly/2FS7zl7
แต่ก่อนจะไป อย่าลืมทานอะไรไปก่อน ไปถึงจะได้มีแรงตะลุยให้ทั่วสวนสนุก
เช้านี้ปิงกินอะไรง่ายๆ เป็นข้าวปั้นไส้แซลมอน กับ starbucks 1 แก้ว
ที่ Family Mart ข้างๆโรงแรม มื้อนี้แค่ 372 เยน เท่าน้านนน
กินเสร็จเราก็นั่งรถไฟไปลงสถานี Osaka แล้วต่อสาย
Osaka Loop Line มาที่ Universal City Station ก็ถึง
Universal Studios Japan แล้วววววววว !! ด้านในก็มี
เครื่องเล่น และ attraction ให้เอนจอยเพียบเลย ทั้งโซน
Minion Park โซน The Wizarding World of Harry Potter
โซน Jurassic Park ฯลฯ จะอธิบายในรีวิวนี้ก็กลัวจะยาวเกินไป
ปิงเลยขอแยกเป็นอีกรีวิว ‘ เที่ยว Universal Studios Japan
1 วัน : เล่นเครื่องไหน ทำกิจกรรมอะไรดี ? ‘ อธิบายครบ
ตั้งแต่การจอง การเดินทาง โซน เครื่องเล่นต่างๆ ค่าใช้จ่าย
เข้าไปอ่านได้ในลิงก์นี้เลย https://goo.gl/UPmkhQ
มีคำถามอะไรก็ inbox มาที่เพจ Bliss Out There
( https://www.facebook.com/BlissOutThere/ )
ตอบได้ จะตอบให้นะ ฮ่าๆ อ่ะขอเอารูปมาล่อนิดนึง : p
ส่วนมื้อเย็นเราก็กลับมากินที่ย่าน Dotonbori ไม่ไกลจากที่พักค่ะ
เดินวนไปวนมา สุดท้ายก็มาจบที่ร้านนี้ และ เพิ่งมารู้ที่หลังว่า
เป็นร้านดัง มีหลายสาขา ขายทั้งซูชิ ซาชิมิ และ นาเบะ
นี่โดนไปคนละ 2,000 กว่าเยน ราคาแอบแรง แต่เทียบกับรสชาติแล้วก็คุ้มแหละ
ไม่มีรูปอาหารนะคะ เพราะตอนนั้นหิวมาก มาถึงจ้วงเลย55555
DAY 2 : OSAKA
หลังจากที่วันแรกเราไปเที่ยว Universal Studios Japan มาแบบ
เต็มๆ ทั้งเดิน ทั้งกิน ทั้งเล่น ทั้งช้อป วันที่สองเราก็ไม่ได้เบาลงเลย
เดินกันยาวๆไป เที่ยว Landmark โอซาก้าเช้าจรดเย็นค่ะ5555555
เริ่มจากมื้อเช้าง่ายๆ ราคาเบาๆ ที่ร้านราเมน & อุด้งใกล้ๆที่พัก
อ่านชื่อร้านไม่ออก แต่หน้าตาเป็นอย่างนี้ รสชาติดี คนขายน่ารัก
ใครพักแถวสถานี Nagahoribashi หรือ Shinsaibashi ก็แวะมาได้ค่ะ
กินเสร็จก็ ไปเอาบัตร Osaka Amazing Pass ที่เราจองผ่านแอพ Klook เอาไว้
ในใบจองบอกว่าจุดรับอยู่ที่ตลาด Kuromon เราก็นั่งรถไฟไปเลย
ลงที่สถานี Nippombashi แล้วเดินต่ออีกนิดนึงค่ะ เข้ามาในตลาดให้
มองหาป้ายที่เขียนว่า ‘ KLOOK Reserved Tickets Pick-up ’ ไว้
จะอยู่หน้าร้านขายขนมและของฝาก ตัวร้านสีส้มๆค่ะ
พอเจอร้านแล้วก็เข้าไปยื่นใบจอง รับ Osaka Amazing Pass เล้ย
นอกจาก Osaka Amazing Pass จะใช้เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว
ในโอซาก้าได้มากกว่า 20 ที่แล้ว ยังใช้โดยสารรถไฟ รถไฟใต้ดิน รถบัส
และใช้รับสิทธิพิเศษ หรือ ส่วนลดตามร้านค้าต่างๆได้ด้วย
บัตรมีแบบ 1 วัน กับ 2 วันค่ะ ราคา 2,500 เยน กับ 3,300 เยน
สนใจก็เข้าไปจองผ่านลิงก์นี้โลด https://bit.ly/2HV1MBl
ที่แรกที่เราจะไปกัน จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก
Osaka Castle หรือปราสาทโอซาก้า landmark ของเมืองนี้!
ได้มาที่นี่ก็เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปญี่ปุ่นเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว
ทั้งตัวปราสาท กำแพง และ สวนรอบๆ ให้ความรู้สึกแบบญี่ปุ่นแท้ๆ
ยิ่งช่วงฤดูใบไม้ผลินี่ยิ่งพลาดไม่ได้เลย เพราะ ดอกซากุระจะ
บานสะพรั่งเต็มพื้นที่ ในส่วนพิพิธภัณฑ์จะมีค่าเข้าชม 600 เยนค่ะ
ถ้าอยากเข้าไปชมสวน Nishinomaru Garden ใช้ Osaka Amazing Pass ได้
หรือถ้าเดินดูรอบๆเฉยๆก็ไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ
ในส่วนของ Nishinomaru Garden ก็ร่มรื่นดีค่ะ เดินได้เพลินๆ
จาก Osaka Castle เราก็มุ่งหน้าไปที่ Umeda Sky Building
โดยไปขึ้นรถไฟที่สถานี Morinomiya สาย Osaka Loop Line
ไปลงสานี Osaka แล้วเดินต่ออีกไม่เกิน 10 นาทีก็ถึงแล้ว
ที่นี่เพื่อนๆจะได้เห็นวิวเมืองโอซาก้าแบบ 360 องศา ที่ความสูงเกือบ 200 เมตร
บนตึก 40 ชั้น พร้อมดาดฟ้า ไม่ใช่แค่วิวอย่างเดียวที่สวย ตัวตึกเองก็สวย
เป็นตึกแฝด รูปทรงแปลกใหม่ ควรมาถ่ายรูปเป็นที่สุด! ที่นี่เปิด 10.00 – 22.30 น.
ค่าเข้าชม 1,000 เยน แต่.. มี Osaka Amazing Pass เข้าฟรีจ้า
เข้าไปถึงก็ยื่น Osaka Amazing Pass ที่เคาน์เตอร์เลย
เค้าก็จะให้บัตรเข้าชม Umeda Sky Building เรามา แบบนี้ : )
จะสั่งกาแฟมาจิบแล้วนั่งดูวิวไปด้วยก็เก๋ หรือ จะขึ้นไปเดินรับลมบนดาดฟ้าก็ดีงาม
เสียดายวันที่ปิงไปฟ้าครึ้มๆ ไว้กลับไปซ่อมอีกรอบ ฮ่าๆ
ก่อนจะไปลุยกันต่อ ขอแวะทานมื้อเที่ยงแป๊ป
มื้อนี้ถือว่าโชคดีมาก เพราะปิงสุ่มเอาระหว่างทางที่
จะไปที่ต่อไปแต่ดันอร่อยมว๊ากกกกก ตราตรึงมาจนตอนนี้!
ถ้า search Google map จาก Umeda Sky Building ไป
Hep Five Ferris Wheel รับรองว่าผ่านแน่นอน อยู่ริมถนน
ข้างร้านนวดป้ายเขียวๆ ต้องเดินลงไปใต้ดินค่ะ
เป็นร้านขายข้าว เนื้อ-หมู ชุบแป้งทอด ปิงโดนเซ็ตเนื้อไป
ประมาณ 1,300 เยน เนื้อด้านในสุกกลางๆ ยังแดงอยู่
แต่แป้งด้านนอกเหลืองกรอบ มาคู่กับน้ำซุป และ ข้าว
ที่เติมได้ไม่อั้น แถมน้ำจิ้มอีก 4 แบบ พร้อมคำอธิบาย
ว่าจิ้มยังไงให้อร่อย เห้ยอันนี้ดีจริง หาร้านให้เจอนะ555555
ออกจากร้าน ก็เดินต่อไป Hep Five Ferris Wheel เลย
Hep Five เป็นห้างสรรพสินค้า ที่มีชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่บึ้มอยู่บน
ชั้น 7 ของห้าง ชิงช้าสวรรค์นี้มีทั้งหมด 52 กระเช้า และ จุดสูงสุดอยู่ที่ 106 เมตร
จุดเด่นของชิงช้าสวรรค์นี้ก็คือสีแดงสด ที่ไม่ค่อยเห็นที่อื่น
เปิด 11.00 – 22.45 น. และ มีค่าขึ้นกระเช้าคนละ 600 เยนค่ะ
เหมือนเดิมคือเราใช้ Osaka Amazing Pass ขึ้นได้เลย อิ_อิ
ก่อนขึ้นกระเช้าจะมีเจ้าหน้าที่คอยถ่ายรูปเรา เอาไปขายตรงทางออก
ราคา 500 เยน ได้ 2 รูป ชอบก็ซื้อ ไม่ชอบก็ไม่เป็นไรค่ะ : )
ในห้าง Hep Five ยังมีอีกกิจกรรมนึงที่เราใช้
Osaka Amazing Pass ได้ นั่นก็คือ เครื่องเล่นของ
Joypolis จะคล้ายๆ Harry Potter and the forbidden journey
ที่ Universal Studios Japan ค่ะ แต่ไม่อลังการเท่า
คือเราขึ้นไปนั่งบนเรือ แล้วก็ล่องแก่งไปในโลก 3D
ซึ่งเหมือนจริงใช้ได้เลย แต่เค้าไม่ให้ถ่ายรูป/วิดีโอด้านในนะ
ใครอยากเล่นก็ตามป้าย Joypolis ในห้างมาเลย
แล้วก็ยื่นบัตรให้พนักงานหน้าเครื่องเล่น
ทั้งชิงช้าสวรรค์และ joypolis ใช้เวลาไม่นานเลย
ปิงจองร้านอาหารไว้ ประมาณ 6 โมงครึ่ง ก็เลยไปเดินเล่น
ช้อปปิ้งรอบๆก่อน พอได้เวลา ปิงก็พุ่งไปที่ร้าน
Isomaru Suisan Umeda เลย ร้านนี้ขายปลาดิบและซีฟู้ด
ปิ้งย่างแบบญี่ปุ่น มีหลายสาขาค่ะ เห็นคนไทยไปกันเยอะอยู่
เลยลองจองไปดู เป็นชุดมาตรฐานคนละเซ็ต คนละ
ประมาณ 1,100 บ. คืออิ่มมากกกกกก กินไม่หมด!
สนใจก็จองได้ในลิงก์นี้ https://bit.ly/2FQiyfc
ซีฟู้ดสดและเนื้อเด้งทุกอย่างเลย ทั้งปลาหมึก หอยเชลล์ หอยตลับ
และที่ไม่เคยลองเลยคือปูอ่องญี่ปุ่น55555555 มันเรียกว่างี้ป่าวไม่รู้
แต่เห็นแล้วนึกถึงปูอ่องที่เชียงใหม่ ต่างกันที่ของญี่ปุ่นเขาไซส์ใหญ่กว่า
กับมันปูด้านในใส่เครื่องมาให้เคี้ยวกรุบๆ มีพนักงานคอยปิ้งและ
ตัดส่วนที่กินไม่ได้/ไหม้ ออกให้ด้วย ดีเว่อร์
จัดการมื้อเย็นเรียบร้อย เราไปเก็บ landmark สุดท้ายกันค่ะ!
จะเป็นที่ไหนไม่ได้ นอกจากย่านช้อปปิ้ง และ entertainment
ที่ใหญ่ที่สุดในโอซาก้า อย่าง Dotonbori พูดชื่อนี้หลายคน
อาจจะทำหน้างงๆ แต่ถ้าบอกว่าย่านที่มีป้ายกูลิโกะ
ต้องนึกออกแน่นอน ฮ่าๆ จากร้าน Isomaru Suisan เดินไป
ขึ้นรถไฟที่สถานี Umeda และ ลงที่ สถานี Namba ค่ะ
อย่างที่บอกว่า Dotonbori เป็นย่านช้อปปิ้ง เพราะฉะนั้น
ร้านเสื้อผ้า ร้านกระเป๋า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง
Drug store ทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึง.. เยอะมาก ก.ไก่ล้านตัว
แถมยังมีร้านอาหาร ร้านขนมให้เลือกกินอีกเพียบ
DAY 3 : KYOTO
วันที่สามแล้วเหวยยยยยยยยย วันนี้เราจะไปเที่ยวเกียวโตกันแบบเต็มๆ 1 วัน
แต่ด้วยความที่ตื่นสาย เราจะข้ามมื้อเช้าไปเลย55555555 เอาเป็นว่าปิงไป
กินอะไรง่ายๆในเซเว่นตรงข้ามโรงแรม แล้วก็รีบขึ้นรถไฟจากสถานี
Shinsaibashi ไปสถานี Umeda แล้วเดินต่อไปสถานี Osaka ขึ้นสาย
Tokaido-Sanyo ไป Kyoto ซึ่งวันนี้ ( และพรุ่งนี้ที่ไปนารากับโกเบ )
ปิงใช้ JR-West Kansai Rail Pass ในการเดินทางค่ะ
มาถึง Kyoto แล้ว ให้ต่อรถไฟไปที่สถานี Gojo ค่ะ
เพราะร้าน Yumeyakata ร้านเช่ากิโมโนที่ปิงจองไว้
อยู่สถานีนั้น ไปถึงก็ยื่นไปจองให้พนักงานเลย
เค้าก็จะอธิบายเราฟังว่าชุดของผู้หญิงต้องใส่อะไรบ้าง
ซึ่งแบบที่ปิงจองมาเป็นแบบมาตรฐาน ประมาณ 850 บ.
ถ้าอยากได้ลูกเล่นเพิ่มเติม ก็จะมีค่าใช้จ่ายค่ะ
ปิงจ่ายเพิ่มค่าสายตกแต่งเข็มขัด กับ ค่าทำผม ประมาณ
490 บ. รวมแล้วก็ 1,340 บ. สวยงามตั้งแต่หัวจรดเท้า
แถมใส่ได้ทั้งวัน คุ้มสุดๆ ที่ชอบคือมีพนักงานไทย
มาดูแลด้วย ทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้นมาก แล้วก็ห้องแต่งตัว
แยกชาย หญิงค่ะ ไม่ต้องห่วง
นี่ทางไปจองค่ะ https://bit.ly/2KH1yvp
ตอนเข้าร้านไปเป็นคนไทย ออกจากร้านมาเป็นคนญี่ปุ่นเฉยเลย : p
จากร้าน Yumeyakate ปิงเดินไปร้านกาแฟที่ไม่ไกลมากชื่อ
Weekenders Café ค่ะ ร้านสองชั้น แต่ไม่ใหญ่มาก
ชั้นบนเป็นห้อง Private เน้นให้คนซื้อแบบ takeaway ไม่ก็นั่งกิน
หน้าร้าน ตกแต่งแบบคลีนๆตามสไตล์ญี่ปุ่นเค้าแหละ ตัวบ้านเป็นปูน
สีขาว แซมด้วยประตู หน้าต่าง และบาร์ไม้ บวกกับสวนเล็กๆหน้าร้าน
ทำให้ที่นี่อบอุ่นสุดๆ เราสั่งลาเต้ร้อนมา แก้วละ 550 เยน
หอม มัน ไม่หวานมาก ร้านเปิด 7.30 – 18.00 น.
ใครสนใจก็ลองเข้าไปดูในเว็บของร้านได้
http://www.weekenderscoffee.com/
แล้วก็ถึงเวลาของไฮไลท์วันนี้.. ย่าน Gion
ข้ามไปอีกฟากของแม่น้ำ Kamo เป็นย่านเก่าแก่ของเกียวโต
มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกมากมาย และ ที่สำคัญ อาคาร
บ้านเรือนในย่านนี้เป็นอาคารไม้แบบดั้งเดิม ให้บรรยากาศญี่ปุ๊นญี่ปุ่น
คิดไม่ผิดที่เช่ากิโมโนมาค่ะ <3
เดินเล่น ถ่ายรูปกันสักพักก็เริ่มหิวค่ะ ก็กลับเข้าสู่
ช่วงสุ่มหาร้านอร่อย5555 แต่รอบนี้ไม่โชคดีเหมือนรอบที่แล้ว
เพราะรานที่เข้าไปเป็นร้านราเมน ราคาเบาๆ รสชาติก็ตามราคา
กลางๆ ไม่พีค แต่ให้เยอะมากกกกก คุ้มอยู่นะ
กินคาวแล้ว ก็ต้องกินหวาน เห็นใครเดินผ่านก็
ถือไอศกรีมชาเขียวกัน เราจะพลาดได้ยังไง!?
เดินเลือกอยู่นานกว่าจะตกลงเข้าร้านนี้ เห็นคิวยาวๆ
มันต้องอร่อยแน่นอน แล้วมันก็อร่อยจริง! โคนละ 470 เยน
ยัง ยังไม่หมด เรายังเหลือร้านกาแฟในตำนาน
อย่างร้าน Arabica อีก ถ้าพูดชื่อนี้หลายคนอาจจะ
นึกไม่ออก แต่ถ้าบอกว่าร้านที่มีโลโก้เป็นเครื่องหมาย %
น่าจะคุ้นๆบ้าง เพราะตอนนี้เขามีสาขาถึง 16 สาขา
ใน 7 ประเทศ และ กำลังจะเปิดสาขาเพิ่มในอีก 6 ประเทศ
ไม่ต้องไปไหนไกล ขนาดร้านกาแฟในกรุงเทพฯ เชียงใหม่
ปิงยังเห็นใช้เมล็ดกาแฟจากร้านนี้เยอะมาก เป็นเครื่องหมาย
ที่ตามเราไปทุกที่ จนได้มาถึงถิ่นเขาในที่สุด!
ในเกียวโตมี 3 สาขาค่ะ แต่สาขาที่ใกล้ที่สุดตอนนี้ก็คือ
% ARABICA Kyoto Higashiyama ตัวร้านไม่ใหญ่มาก
มีที่นั่งไม่กี่ที่ บาร์และผนังสีขาว ตัดกับเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาล ทอง
เมนูที่ปิงสั่งคือลาเต้(อะเกน) แก้วละ 500 เยนค่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติมลิงก์นี้ https://arabica.coffee/location/arabica-kyoto-higashiyama/
ดื่มหมดแก้วเราก็เดินไปวัด Kiyomizu กันดีกว่า
หลังจากกินนู่นกินนี่มาต่อเนื่อง ก็ได้เวลาเบิร์นแล้ว เพราะทางเดิน
ไปวัด เป็นทางขึ้นเขา ชันหน่อยๆ ระหว่างทางก็จะมีร้านขายขนม
ร้านขายของที่ระลึก เยอะมาก ล่อตาล่อใจนักท่องเที่ยวดีนักแล
แล้วถามว่าปิงปิงรอดมั้ย? คำตอบคือ ไม่ค่ะ : D
ในที่สุดก็มาถึง วัด Kiyomizu หรือ วัดน้ำใส
วัดที่สวยจน UNESCO บันทึกให้เป็นมรดกโลก
ที่ชื่อวัดน้ำใส เพราะตอนที่สร้างวัดนี้ มีน้ำตกธรรมชาติ
ไหลผ่านวัด จุดเด่นของวัดนี้คืออาคารไม้ขนาดใหญ่
ที่สร้างโดยไม่ใช้ตะปูเลย เชื่อมกันด้วยไม้ทั้งหมด
เป็นอีกที่ที่คนนิยมมาในฤดูใบไม้ผลิ เพราะจะเห็นต้นไม้
สีส้มแดงขึ้นล้อมรอบตัวอาคาร ซึ่งอาคารหลังนี้ประกาศ
ซ่อมแซมไปเมื่อปี 2017 และคาดว่าจะเสร็จภายใน 4 ปี
ตอนปิงไปก็เลยไม่ได้เข้าไป ใครสนใจก็ดูข้อมูลไปก่อนเน้อ
http://www.kiyomizudera.or.jp/en/
เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว จากวัดนี้ปิงก็กลับไปคืนชุดกิโมโน
แล้วนั่งรถไฟกลับโอซาก้าค่ะ แต่ความเฟลของเย็นนี้คือ ปิงหาร้านซูชิไว้
Harukoma Sushi แต่พอไปตาม google map มันดันเป็นชื่อร้านเดียวกัน
แต่ไม่ใช่ร้านที่ปิงจะไป งงมะ? แต่ตอนนั้นหิวมาก ก็เลยสุ่มร้านใหม่
แถวนั้นเลย แล้วก็โชคดีอีกครั้งที่ไปเจอร้านอร่อยราคาย่อมเยาว์
อยู่ใกล้สถานี Nishinakajima-Minamigata นะค ไปโดนได้
DAY 4 : NARA / KOBE
เอ้าๆๆๆ รีบหน่อย วันนี้จะไปกันตั้ง 2 เมือง! นารา และ โกเบ
ตอนเช้าก็เหมือนเดิม กินอะไรง่ายๆแถวที่พักค่ะ จากนั้นขึ้นรถไฟที่
สถานี Nagahoribashi สาย Nagahori tsurumiryokuchi ไปลงสถานี
Taisho แล้วต่อรถไฟไป Nara ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ
พอไปถึงก็เดินยาวเลยกว่าจะถึงจุดหมายของเรา
Nara Park เป็นหนึ่งในไฮไลท์ห้ามพลาดสำหรับคนที่
มาเที่ยวคันไซ เพราะนอกจากสวนจะร่มรื่น และ อยู่ใกล้วัด
Todai-ji แล้ว ในสวนยังมีน้องกวางกว่าพันตัว ให้เราได้ถ่ายรูป
ป้อนขนม และ เล่นด้วย : ) ถึงใน google map จะบอกว่า
จากสวนไปวัดใช้เวลาไม่มาก แต่เอาเข้าจริง ใครจะทนความน่ารัก
ของน้องกวางไหว ก็ถ่ายรูปถ่ายอะไรกันไปเพลินๆ
กว่าจะรู้ตัวก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้ว ฮ่าๆ
ขอถ่ายรูปด้วยหน่อยน้า น้องกวาง <3
ถ้าอยากให้น้องสนใจต้องซื้อขนมให้น้องด้วย
เซ็ตละ 150 เยน มีเกือบ 10 ชิ้นค่ะ
ผ่านด่านน้องกวางมาได้ เราก็จะเข้าสู่เขตของวัด Todai-ji
ซึ่งก็ยังมีกวางอยู่เหมือนกัน5555555 วัดนี้เป็นวัดที่มี
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์กับญี่ปุ่นมาก เพราะอาคารหลัก
ของวัดเป็นอาคารไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ส่วนไดบุตสึเดนที่ประดิษฐานอยู่ในอาคารหลักก็ใหญ่โต
สูงถึง 15 เมตรเชียวนะ ใครอยากเข้าชมอาคารนี้จะมี
ค่าใช้จ่ายเพิ่ม 600 เยนค่ะ ซึ่งคุ้มมาก เชื่อเถอะ
ภายในวัดก็จะมีร้านอาหาร ร้านขนม และ ร้านขายของที่ระลึก
หลอกล่อพวกเราอยู่เรื่อยๆ แต่เราต้องกลั้นใจไว้ซื้อทีเดียววันพรุ่งนี้ค่ะ
ตอนนี้รีบออกจากนารา แล้วไปทำภารกิจต่อไปที่โกเบกันดีกว่า
เพราะใช้เวลานั่งรถไปนานอยู่ ประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที ไปลงสถานี
Kobe-Sannomiya แล้วเดินต่ออีกหน่อย ก็ถึง Steakland Kobe !!
ต้องบอกก่อนว่าปิงเคยมา Steakland Kobe เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
วิธีที่ง่ายที่สุดคือขึ้นมาจากสถานี Kobe ถ้านั่ง JR Rail Pass
ข้ามถนนมาก็จะเจอร้านเลย แต่ตอนนี้ ร้านเค้าไม่ได้อยู่ริมถนนแล้ว
เค้าย้ายเข้าไปในซอย อยู่ชั้น 6 ของอาคารเล็กๆอาคารหนึ่ง
รูปด้านบนเป็นรูปหน้าซอยนะคะ เผื่อหาไม่เจอ แต่รอบๆก็จะมี
ป้ายคอยชี้บอกทางตลอดค่ะ ส่วนเหตุผลว่าทำไมต้องยอมนั่งรถไฟอ้อมโลก
เพื่อมากินร้านนี้ เพราะ มัน – อร่อย – มาก – จริง – จริง
สำหรับคนรักเนื้อแบบปิง ที่นี่คือสวรรค์ และ หลังจากกินเสร็จ
ปิงรู้สึกว่าปิงได้ตายอย่างสงบแล้ว5555555 จะหาว่าเว่อร์ก็ได้
แต่ถ้าไม่มาเองก็ไม่รู้หรอก ร้านนี้ขาย Steak เนื้อ เป็นหลักค่ะ
โดยเค้าจะมาทำและปรุงให้ดูตรงหน้าเลย ราคาเริ่มต้นคือ
Roast Steak Set 2,880 เยน และเซ็ตที่แพงที่สุดรู้สึกจะเกือบ
8,000 เยน แต่ปิงเลือกสั่งเซ็ต Roast ที่บอก กับ Special Kobe Beef Set
ราคา 5,480 เยน แล้วให้คนทำมิกซ์ให้ปิงกับเพื่อนได้กินเนื้อทั้ง 2 แบบ
ในเซ็ตจะมีน้ำซุป สลัด ซอส 2 แบบ ผัดเห็ด ผัดถั่วงอก และ ข้าวที่เติมได้ไม่อั้น
ต้องยอมรับว่ามันแพง แต่ปิงก็ไม่เสียดายเงินเลย เสียใจซะอีก
ที่นานๆจะได้กินเนื้อรสชาติดีขนาดนี้ ใครมีโอกาสก็มานะ มาเถอะ
Steakland Kobe จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง :’D
นี่คือหน้าตาของทั้งเซ็ต จะเห็นว่ามีเนื้อ 2 แบบ เพราะปิงบอกให้เขา
มิกซ์ให้ เนื้อที่รีกว่าคือเนื้อ Special Kobe จะเหนียวกว่านิดนึง
เนื้อละเอียดและหอมกลิ่นเนื้อมากกว่าเนื้อธรรมดา
ร้านไม่ใหญ่มากค่ะ แต่ทุกโต๊ะจะมีเตาให้คนกินได้เห็นคนทำ
ขณะที่ทำให้เรากินอย่างใกล้ชิด ชอบตรงนี้แหละ
กว่าจะมาถึงร้านก็ 4 โมงแล้ว กว่าจะกินเสร็จก็ 5 โมงกว่า
( กินช้าเพราะไม่อยากให้มันหมด5555555 ) จะเรียกว่านี่คือมื้อเที่ยง
ก็ไม่ได้แหละ เหมารวมกับมื้อเย็นเลย เพราะเบิ้ลข้าวไปด้วย
พรุ่งนี้วันสุดท้ายจะได้พักผ่อนกันนะ ชิลๆ
DAY 5 : OSAKA
ภารกิจวันนี้ คือ กลับไปที่ตลาด Kuromon ไปเดินเล่นย่าน
Nakazakicho และ ไปซื้อของฝากที่ร้าน Don Quijote
ไฟล์ทกลับกรุงเทพฯคือ 17.35 น. ควรไปถึงสนามบินสักบ่ายสาม
เพราะฉะนั้นเรามีเวลาไม่มากค่ะวันนี้ ฝากของไว้ที่ lobby โรงแรม
แล้วมาเริ่มภารกิจแรกกันเลย! ชื่อตลาดอาจจะคุ้นๆ เพราะเป็นตลาดที่เราไป
เอา Osaka Amazing Pass วันที่สอง ซึ่งไม่ได้อยู่ในแพลนเลย
แต่วันที่ไปเอาบัตรนั่นแหละ เห็นแล้วแบบ เห้ย ตลาดน่าเดินมาก
มีร้านปลาดิบสดๆ ร้านซีฟู้ดปิ้งย่าง หอยเชลล์อันเบอเร่อ ขาปูบิ๊กบึ้ม
และอีกสารพัดของคาว ของหวาน เลยขอกลับมาแก้มือซะหน่อย
ขึ้นรถไฟที่สถานี Nagahoribashi ไปลง Nippombashi ก็ถึงเลย
เดินไปเรื่อยๆก็เห็นคนมุงหน้าร้านนี้เยอะมาก พอยื่นหน้าเข้าไปดู..
หูววววววววว น่ากินอ่ะ กินๆๆๆๆ ร้านนี้ชื่อว่า Tuna Store Kurogin
ขายข้าวหน้าปลาดิบ และ ซาชิมิ มีทั้งปลาทูน่า ปลาแซลมอน โทโร่
ราคา 1,200 / 1,500 / 1,800 / 2,000 / 3,000 เยน แล้วแต่
ปิงสั่ง Salmon & Toro Medium Bowl 1,500 เยน อร่อยและสดอยู่นะ!
โดยเฉพาะปลาสับด้านบน ไม่แน่ใจว่าทูน่าหรืออะไร ดีงาม ละมุนมาก
ใครไปถึง เห็นไม่มีที่นั่งอย่าเพิ่งถอดใจ เพราะเขามีชั้น 2 – 3 ด้วยจ้า
ไปต่อกันที่ย่าน Nakazakicho ย่านคาเฟ่ในโอซาก้า
ชื่อสถานีรถไฟตามชื่อย่านเลย แต่แอบเฟลเบาๆเพราะ
วันที่ไปเป็นวันอาทิตย์ ร้านปิดเกือบหมด ร้านที่เปิดก็จะเปิดสายๆ
แต่ถ้าใครได้มาวันธรรมดา หรือ วันเสาร์ ปิงว่าชอบแน่
เพราะเป็นย่านน่ารักๆ มีบ้านคน ร้านกาแฟ ร้านขายต้นไม้ดอกไม้
ร้านทำผม ปะปนกันไป ขนาดไม่ได้เข้าร้านอะไรเลย
ยังได้รูปน่ารักๆกลับมาเลย เยยยยย่
ปิดท้ายทริปนี้ด้วยการซื้อของฝากแบบจัดเต็ม
ร้าน tax free ขนาดใหญ่ ใจกลางโอซาก้า นั่นก็คือ
Don Quijote สาขา Dotonbori ร้านนี้มีหลายชั้นมาก
แบ่งชัดเจน ชั้นขนม ชั้นอาหารแห้ง ชั้นเครื่องสำอาง
ชั้นเทคโนโลยี และ ของกระจุกกระจิกอีกเพียบ
อยากซื้ออะไรฝากก็จัดเลย! ชั้นล่างมีเคาน์เตอร์ทำ
tax free ให้ด้วยจ้า การันตีว่าร้านนี้ราคาถูก แถมมี
ของฝากที่คนฮิตๆกันเกือบครบเลย *O*
ปิงก็หมดกับร้านนี้ไปเยอะอยู่นะ แต่ฟิน55555555
จบแล้วหรอ ทริปเที่ยวคันไซ 5 วัน แบบจัดเต็ม? เร็วเนอะ!!
เป็นทริปที่เที่ยวได้ครบรส และ ทั่วถึงมากๆสำหรับคนที่มีเวลาแค่ 5 วัน
ต้องขอบคุณ Klook ผู้ช่วยของเราด้วย ที่ทำให้ทริปเราสนุก สะดวก
ประหยัดทั้งเงินทั้งเวลา อยากจองอะไร ก็ลองเข้า https://www.klook.com/th/ นะ
ช่วงนี้มีโปรอยู่ด้วย ชื่อ ‘ โปรรับซัมเมอร์ ขำหนักมาก 555 ‘ จองอะไรก็ได้
ผ่านลิงก์นี้ https://www.klook.com/th/promo/th-summer-555/?aid=3215
พร้อมใส่โค้ด KLOOKTH555 จองครบ 5,555 บ. ลดทันที 555 บ.
หรือจะใส่โค้ด NEWKLOOKTH5 จาก ‘ โปรรับซัมเมอร์ Klook หน้าใหม่อ
ก็ลด 5% หรือ ไม่เกิน 250 บาท สำหรับการจองครั้งแรกผ่าน KLOOK
** หมดเขต 15 กรกฏาคม 2561 นี้ เท่านั้นจ้าาาาาา **
ติดตามรีวิวท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศของปิงได้ที่
www.blissoutthere.com สงสัยอะไรก็ inbox มาถามกันได้ที่
เพจ Bliss Out There หรือ https://facebook.com/blissoutthere
ฝากกด like กด follow กันด้วยล่ะ จะได้ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ
ทริปนี้ลาแล้วจ้า เจอกันทริปหน้า บายยยยยยย : )