มีเงินไม่ถึง 30,000 ก็เที่ยวเวนิสได้ จะเป็นยังไงต้องติดตามค่ะ : )
เอาอีกแล้ว เอาอีกแล้ว Bliss Out There เราพาเที่ยวกันอีกแล้วววววววว! คราวนี้พาไปไกลถึง “เวนิส” เมืองแห่งสายน้ำ ประเทศอิตาลี ทวีปยุโรป ด้วยความที่มีสถาปัตยกรรมสวยงาม มีงานศิลปะเด็ดๆ และวิถีสโลๆเหมือนน้ำที่ไหลไปทั่วเมือง ทำให้เวนิสเป็นสถานที่ในฝันของใครหลายๆคนค่ะ แต่ช้าก่อน… อย่าเพิ่งคิดว่าเห้ย ก็ได้แค่ฝันแหละ เพราะจริงๆแล้วการเที่ยวเวนิสนั้นง่ายนี๊ดดดดดดดดดดดดเดียว งบก็สมเหตุสมผล ใครๆก็ไปได้ค่ะ : D
ขอเกริ่นนิดนึงว่าที่เราโตมาเป็นมนุษย์เสพติดการท่องเที่ยวได้ขนาดนี้ส่วนหนึ่ง(ซึ่งเป็นส่วนหลักๆเลย)ก็เพราะพ่อเราเนี่ยแหละ ตอนนี้ท่านอายุย่าง 65 ปี แล้ว ถึงพ่อจะขึ้นเหนือล่องใต้ ไปนู่นไปนี่มาเยอะ แต่ที่ที่พ่อฝันไว้แล้วยังไม่มีโอกาสได้ไปก็คือเวนิส! ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำความฝันพ่อให้เป็นจริง บวกกับการบังเอิญเจอตั๋วเครื่องบินราคาถูกเว่อร์… ทริปเฟี้ยวๆ พาพ่อเที่ยวอิตาลีจึงเกิดขึ้นนนนนนนนนนนนน!!
ก่อนจะไปลุย เรามาดูเรื่องงบประมาณกับการเตรียมตัวกันดีกว่าเพื่อนเอ้ย ขออนุญาตแจกแจงงบ 29,055 บาท/คน อย่างคร่าวๆ ด้วยรูปนี้แล้วกันค่ะ : D (ป.ล. งบนี้ไม่ได้รวมค่าของฝาก และ ค่าทำวีซ่า 60 ยูโร หรือ 2,335 บาท ซึ่งเพื่อนๆสามารถดูข้อมูลและขั้นตอนเกี่ยวกับการยื่นขอวีซ่าได้ในลิงก์นี้เลยยยยยยยยย http://www.vfsglobal.com/italy/thailand/thai/how_to_apply.htm l ป.ล. 2 สำหรับคนที่อายุเกิน 26 ปี ค่าเข้าสถานที่ต่างๆจะมากกว่านี้ค่ะ ข้อมูลอยู่ในรีวิวเรียบร้อยแล้ววว)
ทริปนี้เราบินจากดอนเมืองไปฮ่องกงด้วยสายการบิน Air Asia และ จากฮ่องกงไปเวนิส + จากมิลานกลับสุวรรณภูมิด้วยสายการบิน Etihad ค่ะ ใครอยากได้ตั๋วเครื่องบินราคาน่าคบหาแบบนี้ ลองดูในเว็บไซต์ traveloka ค่ะ มีทั้งสายการบินในและต่างประทศ มีทั้ง low cost และ full service บางทีมาเป็นราคาดีลรวมที่พักให้ด้วย นี่ลิงก์ https://www.traveloka.com/th-th/promotion
พวกเราพักห้อง Private ที่โฮสเทลชื่อ The Caponi Bros ราคา 3 คน 4 คืน 13,071 บาท ตกคนละ 4,357 บาท ค่ะ จุดขายคือนางอยู่ใกล้สถานีรถไฟ Venezia Mestre ไปไหนมาไหนสะดวก ห้องพักและบริการอยู่ในระดับปานกลาง หน้าตาจะเป็นยังไง ไปชม…
ป้ายเล็กๆ สงสัยกลัวมีคนมาพัก
ภาพรวมนะ…
ราคานี้รวมอาหารเช้าแล้วค่ะ เป็นครัวซองคนละชิ้น ซีเรียล กาแฟ น้ำส้ม นม ขนมปังกรอบซึ่งเติมได้ไม่อั้น แถมเนย น้ำผึ้ง แยมผลไม้ ช็อกโกแลตนูเทลล่า ไว้ให้ทาขนมปัง เหมือนจะน้อยแต่มันอิ่มใช้ได้เลยแหละ
ใครดูที่นี่แล้วยังไม่กดไลค์ แนะนำให้เสิร์ชชื่อ Ai Boteri, Reiter Hotel, Hotel Ariston ดูค่ะ หรือจะหาในเว็บ http://www.hostelbookers.com , http://www.hostelworld.com , http://www.hostels.com แบบเราก็ได้ เวิร์คๆ
มาต่อกันที่ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ… มีบัตร Venezia Unica City Pass ติดตัวไว้ จะช่วยให้เราประหยัดไปได้หลายขุม พวกนายสามารถเลือกบัตรให้คุ้มและเข้ากับสไตล์การท่องเที่ยวของตัวเอง โดยดูรายละเอียดและจองล่วงหน้าผ่านเว็บนี้ๆๆๆ http://www.veneziaunica.it/en/e-commerce/services อย่างเราเน้นเข้าสถานที่ Landmarkกับพวกพิพิธภัณฑ์ศิลปะ โบสถ์เข้าแค่ที่เด่นๆ ใช้เรือบ้าง เน้นเดินเท้ามากกว่า บัตร Museum Pass ราคา 18 ยูโร เข้าชมได้ 11 สถานที่จึงเหมาะกับเราที่สุดค่ะ (อายุมากกว่า 26 ปี ราคา 24 ยูโร) ส่วนค่าเข้าชมสถานที่ที่ไม่รวมในบัตรนี้ เราจะบอกอีกทีน้า (แนะนำจริงๆว่าควรมี เพราะถ้าไปซื้อแยกตามสถานที่ บางที่ก็ปาเข้าไป 10-15 ยูโรแล้ว ด้วยรักและห่วงใยจาก Bliss Out There <3)
ใกล้แล้ว ใกล้ได้ไปแล้ววววววววววววว ขอฝากแผนที่ไว้ให้ทำความเข้าใจกันอีกหน่อยค่ะ เวนิสประกอบด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยเกาะแน่นๆๆหน่อยนะน้องนะ ผิด! ประกอบด้วยเกาะ 8 เกาะ ตามรูปเลย ซึ่งยังไม่รวม Murano Burano และ Torcello ที่คนชอบนั่งเรือออกไปเที่ยว พวกนายต้องศึกษาให้ดีว่าจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง แต่ละที่อยู่เกาะไหน ที่ไหนใกล้กันก็วางแผนไปวันเดียวกัน ที่ไหนปิดวันไหนต้องดูด้วย แต่ถ้าจะให้ง่ายเลยคือไปตามเราค่ะ เราพาไป โกโกโก!!
เรา พ่อ พี่ชาย ถึงสนามบิน Venice Marco Polo ตอน 7 โมงเช้าของวันที่ 3 พ.ค. 59 ถึงแล้วไม่รอช้า พุ่งตัวไปที่เคาน์เตอร์ Public Transportation Ticket ควักเงินคนละ 8 ยูโรซื้อตั๋วรถบัสทันที พวกเรานั่งรถสาย 15 ไปลงที่ป้าย Mestre FS(อยู่หน้าสถานีรถไฟ Venezia Mestre) ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นข้ามถนน เดินต่ออีกไม่เกิน 400 เมตร ก็จะเจอ The Caponi Bros วิมานหลังน้อยๆของพวกเรา เย้ : D
Check in เก็บของเสร็จก็ได้เวลาอันสมควรที่ชาวไทย 3 คนจะออกไปเขย่าเมืองแห่งสายน้ำกันแล้ว! จากที่พัก เราเดินกลับไปที่สถานีรถไฟ Venezia Mestre ซื้อตั๋วไป – กลับ Venezia Mestre – Venezia S.Lucia ราคา 2.50 ยูโร ที่เครื่องซื้อตั๋ว ซื้อแล้วดูให้ดีว่าเราต้องรอที่ชานชาลาที่เท่าไหร่ แล้วอย่าลืม Validate(เปิดใช้งาน) ตั๋วในเครื่องเล็กๆหน้าตาประหลาดๆด้วย เพราะถ้าวันดีคืนดีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจตั๋วบนรถแล้วพวกนายยังไม่ได้ Validate ตั๋ว รับรองว่าชีวิตมีสีสันแน่นอน
จาก Venezia Mestre ไป Venezia S.Lucia ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีค่ะ นั่งดูวิวไปเพลินๆ แค่ 2 สถานีก็ถึงแล้ว สถานี Venezia S.Lucia เป็นสถานีรถไฟสถานีเดียวในเกาะเล็กเกาะน้อยทั้ง 8 เกาะของเวนิส ไปถึงก็จะเห็นนักท่องเที่ยวเดินวนเวียนหาที่ซื้อตั๋ว หาท่าเรือรอเรือเมล์กันให้วุ่น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรารีบไปต่อคิวซื้อตั๋วเรือกันดีกว่าแกรรรรร
วันแรกก็ต้องไปโดนสถานที่ฮอตฮิตติดท๊อปในเกาะ San Marco สิถึงจะถูกกกกก พวกเราซื้อตั๋วเรือเมล์ไป – กลับ Ferrovia(S.Lucia) – San Marco ที่ห้อง Information หน้าสถานีรถไฟ Venezia S.Lucia ค่ะ ราคาคนละ 15 ยูโร ซื้อเสร็จก็ไปสแตนบายรอเรือสาย 2 ที่ท่า C หรือ D ก็ได้ พอเรือมาก็กระโดดขึ้นเล้ยยยยยยยย
นั่งประมาณครึ่งชั่วโมงเรือก็เทียบท่า San Marco ค่ะ ถึงปุ๊ปเราก็ทำการเดินสำรวจเล็กน้อย เห็นเรือแจวชิคๆแบบนี้เขาเรียก Gondola นะ ใครอยากนั่งชมวิวล่อง Grand Canal ลัดเลาะเกาะเวนิสคือแนะนำ ราคาประมาณ 80 ยูโร นั่งได้ 40 นาที ถ้าเห็นอาหมวยอาตี๋คนไหนสนใจ จะไปหุ้นนั่งลำเดียวกันก็ได้ค่ะ ประหยัดๆๆๆๆ
จากท่าเรือ เดินเลี้ยวซ้ายมาค่ะ ข้ามสะพาน 2 สะพาน แล้วจะเจอสิ่งนี้อยู่ทางขวามือ…
Bridge of Sighs / สะพานถอนหายใจ เป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างชั้นใต้ดินของ Doge’s Palace กับแดนคุมขังนักโทษ สร้างขึ้นในปี 1602 ที่ชื่อสะพานถอนหายใจเพราะว่า สะพานนี้เป็นที่สุดท้ายที่นักโทษจะได้มองเห็นท้องฟ้า ทะเล และถอนหายใจ เห้อออออออออออออ ก่อนที่จะถูกจองจำ
เดินเลย Bridge of Sighs มาหน่อย Doge’s Palace / พระราชวังดอจจ์ จะอยู่ทางขวามือเลย ที่นี่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 เคยเป็นที่ทำการของฝ่ายบริหารเมืองเวนิสและบ้านของดยุคค่ะ
ข้างในบอกได้คำเดียวว่าเลอค่า ทองคือจัดเต็ม งานจิตรกรรมคือจัดหนัก ใครสนใจไปโดนได้ทุกวัน 8.30-19.00 น.(แถวเข้าชมปิด 18.00 น.) ค่าเข้า 19 ยูโร ถ้าอายุต่ำกว่า 26 ปี ลดเหลือ 12 ยูโรค่ะ ส่วนใครใช้ Museum Pass แบบเราก็หายห่วง ยื่นใบจองให้พนักงานตรวจ แล้วเดินเข้าไปสวยๆได้เลย
อ้าปากค้างกันเลยที่เดียว…
ความยิ่งใหญ่ต่อไปอยู่ไม่ไกลเลยค่ะ เดินเลี้ยวไปด้านหลังของพระราชวังดอจจ์ ก็เจอ St. Mark’s Basilica / Basilica di San Marco/ โบสถ์เซนต์มาร์ค แล้ว (ตอนเราไป โบสถ์ปรับปรุงอยู่บางส่วน) โบสถ์นี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 เป็นศิลปะแบบไบเซนไทน์ ผนังด้านในตกแต่งด้วยทองและภาพจิตรกรรมทั้งหมด บอกไม่ได้ว่าสวยขนาดไหนเพราะเขาไม่ให้ถ่ายรูป! อยากขนลุกแบบเราต้องเข้าไปดูกันเอง ข่าวดีคือไม่เสียค่าเข้า ยกเว้นส่วนพิพิธภัณฑ์ เสียคนละ 5 ยูโร ถ้าอายุต่ำกว่า 26 ปี 2 ยูโร ค่ะ วันจันทร์-เสาร์ โบสถ์เปิด9.45-17.00 น. วันอาทิตย์เปิด 14.00-16.00 น. ส่วนพิพิธภัณฑ์เปิดทุกวัน 9.45-16.45 น.
นี่คือ Clock Tower / หอนาฬิกา ค่ะ อยู่ข้างโบสถ์เซนต์มาร์ค เป็นทางเข้าถนน Merceria
เผลอแป๊ปเดียวปาเข้าไปบ่ายกว่าแล้ว ท้อง ไส้ กระเพาะโวยวายกันใหญ่ พวกเราตัดสินใจหาของกินในถนนเส้นนี้แหละ เป็นเมนูมหัศจรรย์ ที่กินร้านไหนก็อร่อย หน้าตาอาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่ยังง๊ายยยยยก็อร่อย มันคือขนมปังแบบต่างๆที่ประกบนู่นประกบนี่ไปเรื่อย เมนูนี้พวกนายสามารถหากินได้ทั่วเกาะเวนิส ในราคาประมาณ 3 – 5 ยูโร เอาเป็นว่ารีบกิน เติมพลัง แล้วเราไปลุยกันต่อ เฮ!
สถานที่ต่อไป ไฉไลไม่เบา Correr Museum / Museo Correr พิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ และ Art Collection มีขนาดกว้างงงงงงงงงงงงงใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่บริเวณจัตุรัสเซนต์มาร์โค ข้างในประกอบด้วยงานจิตรกรรม งานประติมากรรม ข้าวของเครื่องใช้สวยๆงามๆที่แค่ได้เห็นก็เป็นบุญตาแล้ว พิพิธภัณฑ์นี้เปิดทุกวัน เวลา 10.00-19.00 น. ค่าเข้าชมรวมอยู่ใน Museum Pass เรียบร้อยยย ใครอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมก็ลิงก์นี้เลยยยย http://correr.visitmuve.it/en/home/
ออกจาก Correr Museum เรามาเดินเล่นถ่ายรูปชิลๆแถวจัตุรัสเซนต์มาร์โคกัน จัตุรัสเซนต์มาร์โคเป็นเหมือนศูนย์กลางของเกาะ San Marco มีร้านค้า ร้านอาหารเยอะแยะ ทั้งคนเวนิสและนักท่องเที่ยวมักใช้ที่นี่เป็นจุดนัดพบ เป็นจัตุรัสที่กว้างมากเว่อร์ นกพิราบเยอะมากเว่อร์ หลายคนยืนเฉยๆก็ได้รูปตอนนกพิราบเกาะมือ เกาะแขน เกาะหัว แล้วดูนี่ พยายามขนาดนี้ กลับไม่มีนกตัวไหนสนใจ… เศร้า TT
ปิดท้ายวันแรกด้วยการดูวิวเมืองเวนิสแบบ 360 องศา ที่ St. Mark’s Campanile หอระฆังสูง 98.6 เมตร ใครที่ขาแข้งไม่ค่อยดีอย่าเพิ่งตกใจ เพราะเขามีลิฟท์ให้ขึ้น ที่นี่เปิดทุกวัน 9.45-19.00 น. ค่าขึ้นไปดูวิวคนละ 8 ยูโร แนะนำให้ไปก่อนพระอาทิตย์ตก แล้วนั่งยาวไปจนมืดจะได้หลายอารมณ์ แต่วันที่เราไปนี่มีอารมณ์เดียว… อารมณ์เสีย! เมฆเยอะมากกกกกกกกกก ฝนจะตกกกกก อุตส่าห์เสียเงินขึ้นไปไอบ้า
มื้อเย็น 3 คนพ่อลูกก็จัดอาหารประจำชาติไปอีกเช่นเคยค่ะ คราวนี้เป็นพิซซ่า กินเสร็จ นั่งรถไฟไป Venezia Mestre แล้วเดินกลับที่พักด้วยความเร็วระดับสิบ เพราะพรุ่งนี้โปรแกรมของพวกเราจัดว่าเอาเรื่อง…
เช้าวันที่ 4 พ.ค. 59 พวกเราตื่นมากินอาหารเช้าที่ที่พักเตรียมไว้ให้ แล้วนั่งรถไฟไปที่ Venezia S.Lucia เช่นเคย วันนี้เราจะออกไปทัวร์เกาะถึง 2 เกาะด้วยกัน นั่นก็คือออออออออออออออออออออ เกาะ Murano และ เกาะ Burano ส่วนแต่ละเกาะจะพีคยังไง ไว้เราค่อยว่ากันนะ ตอนนี้ขอซื้อตั๋วเรือก่อน
วันนี้เดินทางด้วยเรือทั้งวัน เราแนะนำให้ซื้อตั๋วเรือแบบ 24 ชั่วโมง ขึ้นลงกี่รอบก็ได้ (แต่ก่อนเคยมีแบบ 12 ชั่วโมงแต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วนะ) ค่าตั๋วคนละ 20 ยูโร คุ้มกว่าไปซื้อแยกทีละรอบแน่นอนค่ะ จาก Ferrovia (S.Lucia) พวกนายจะนั่งเรือเมล์สาย 2 ที่ท่า B หรือสาย 3 ที่ท่า C ก็ได้ นั่งไปไม่ถึง 40 นาทีก็ถึงท่า Murano Venier แล้ว เย้!
เกาะ Murano เคยเป็นศูนย์กลางกองทหาร ตำรวจ และชนชั้นสูง จนปี 1291 สาธารณรัฐเวนิสให้โรงงานผลิตแก้วย้ายมาอยู่ที่นี่ เพราะสมัยก่อนบ้านเรือนในเวนิสทำด้วยไม้ ถ้าเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้จากโรงงานผลิตแก้ว เวนิสจะได้ไม่เสียหายมาก ปัจจุบันแก้ว Murano ก็ยังครองแชมป์เรื่องความสวยงามและเทคนิคการผลิต ใครไปเที่ยวอย่ามัวแต่ช้อปนะ ไปดูเขาโชว์ผลิตแก้วกันด้วย มีทั่วเกาะเลย เลิศศศศศศศศศศ
มาถึงแล้วไม่รอช้า รีบหาอะไรทำดีกว่าเห้ย! เจอคำว่า Free Entrance เตะตาเข้าไป ไหนๆๆๆขอดูหน่อยซิ
ห้องทำงานศิลปะของจริง
ลุงทำม้าให้ดูตัวนึงงง… ลุงเฟี้ยวมากอ่ะรู้ตัวป่ะ
ก็ซื้อเขาหน่อยแล้วกันเดี๋ยวจะหาว่าดูฟรี
จากร้านนี้(ใกล้ท่าเรือที่เราขึ้น) เดินย้อนขึ้นไปอีกหน่อยจะเจอสะพานค่ะ ข้ามสะพานไปเป็นถนนช้อปปิ้งของเกาะ Murano
ร้านอาหารมีพอประมาณ แต่ร้านขายแก้วนี่ให้ลึ่มมมมมมมมม ทุกร้านจัด Display ได้เก๋ไก๋ชไนเดอร์มากมาก มีร้านหนึ่งเราเข้าไปเขาก็นั่งทำแก้วอยู่เหมือนกัน แต่ร้านนี้เน้นงานเล็ก งานละเอียด พ่อเราถึงกับร้องออกมาว่าตู้หูววววววววววววว คือดีย์… เตือนกันนิดนึงว่าอย่าลืมดูราคาหลายๆร้านก่อนซื้อ จะได้ไม่เสียเงินโดยใช่เหตุเด้อ
เดินถนนนี้จนทั่วก็ข้ามสะพานกลับไปฝั่งเดิมค่ะ เดินย้อนขึ้นไปอีกหน่อย เจอท่า Murano Museo ให้เลี้ยวซ้าย แล้ว Glass Museum จะอยู่ทางขวามือของพวกนาย
ถึงปุ๊ปเดินตรงเข้าไปยื่นบัตร Museum Pass ให้พนักงานสแกนได้เลย อย่าลืมฝากของกันด้วยล่ะ กระเป๋าจะเล็กใหญ่เบอร์ไหนก็ฝากเถอะน้า เดี๋ยวเผลอไปโดนแก้วเขาแตกล่ะก็รู้เรื่อง ที่นี่จัดแสดงแก้วแบบต่างๆ ประวัติความเป็นมา ขั้นตอนและเทคนิคในการผลิต รวมทั้ง Collection เก๋ๆของศิลปินที่จะเวียนกันมาจัดแสดงตลอด เปิดทุกวัน 10.00 – 18.00 น. ปกติค่าเข้าคนละ 10 ยูโร ถ้าอายุต่ำกว่า 26 ปี ลดเหลือ 7.5 ยูโรค่ะ
อันนี้ปังสุดดดดด สวนจำลอง ทำด้วยแก้วทั้งหมดนะน่ะ
บ๊ายบาย Murano แล้วเราไป Say Hello Burano กันนนนน : D จากท่า Murano Museo พวกเรานั่งเรือเมล์สาย 4.2 กลับไปที่ท่า Fondamente Nove หรือ F.te Nove ค่ะ(5ป้าย) จากนั้นต่อสาย 12 ที่ F.te Nove ท่า A ไปลง Burano ใช้เวลารวมประมาณ 40 นาที
สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อไปถึง Burano คือ หาข้าวกิน! หิวจะแย่แล้ว! ขึ้นจากเรือมาปุ๊ปร้านอาหารก็อยู่ตรงหน้าเลย ไปๆๆๆๆ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง
นิตยสารระดับสากลมากมายยกให้ เกาะ Burano เป็น 1 ใน 10 สถานที่ที่สีสันสดใสที่สุดในโลก แต่ละบ้านจะทาสีประจำตระกูลที่สืบทอดกันมา บอกเลยว่าไปวันเดียวได้รูปลงถึงปีหน้า555555555 ของขึ้นชื่ออีกอย่างของเกาะนี้คือผ้าลูกไม้ เขาว่าแต่ก่อนผู้ชายบนเกาะส่วนใหญ่ทำประมง ภรรยาว่างๆก็ถักผ้าลูกไม้จนเก่งค่ะ ที่นี่พวกนายสามารถเข้าชม Lace Museum ได้ฟรีโดยใช้บัตร Museum Pass แต่ก่อนจะไปมิวเซียมเราไปถ่ายรูปกับบ้านสีๆให้ทั่วเกาะกันเลย ปายยยยยยยยยยยยยยยยย (ถ้าหันหลังให้ร้านอาหาร เดินไปทางขวาประมาณ 100 เมตรก็เจอแล้ว)
Feeling inlove มั่กๆ
สาบานว่าไม่ได้ปรับความสดของสีแม้แต่นี๊ดดดดดเดียวค่ะ
ไหนหา Background ที่เข้ากับชุดซิ…
คุณพ่อก็ไม่เบาๆๆๆๆ
หลังจากถามทางพ่อค้าแม่ค้าไป 2-3 รอบ พวกเราก็มาถึง Lace Museum ค่ะ ภายในจัดแสดงเรื่องประวัติความเป็นมาของผ้าลูกไม้ มีงานลูกไม้เก่าๆสวยๆเยอะเลย ชอบตรงที่เขาทำเป็นลิ้นชักให้เราเลื่อนดูได้หลายๆชั้น ใครไม่ได้อินกับความมุ้งมิ้งนี้จะไม่เข้าชมก็ได้ เพราะจริงๆนี่ก็ไม่ได้อินนะ แต่มันฟรี มันรวมใน Museum Pass… ก็ขี้เหนียวแหละ
ก่อนกลับเราก็แวะถนนช้อปปิ้งของที่นี่กันหน่อย เขาขายทั้งเป็นเสื้อผ้า เป็นกระเป๋า เป็นของใช้ ใครใคร่ซื้อ… ซื้อ ใครใคร่เดินถ่ายรูปเอามาทำรีวิว… เราเอง
จากท่า Burano พวกเรานั่งเรือเมล์สาย 12 กลับไปที่ ที่ F.te Nove แล้วต่อสาย 4.1 จากท่า C ไปที่ Ferrovia (S.Lucia) ค่ะ วันนี้กลับเร็วนิดนึง เก็บแรงไว้วันพรุ่งนี้ สปอยไว้ก่อนว่าเดิน-ขา-ลากกกกกกกกกก
เป็นยังไงเที่ยวเวนิสไป 2 วัน ? เที่ยวง่ายเนอะ แค่เดินกับเรือเมล์ก็เอาอยู่แล้ว มีนู่นมีนี่ให้ดูตลอด งั้นเราไปลุยวันที่สามต่อเลยแล้วกัน วันนี้ขออนญาตพาทุกคนไปหาความสุนทรีย์ให้กับชีวิต หาความติสท์ให้กับชีวา(แหมะ คมซะไม่มี) เสพงานอาร์ตท้างงงงงงงงงงงงงวัน แต่ก่อนจะไปดูศิลปะเราไปดูวิถีชีวิตตอนเช้าของคนเวนิสกันหน่อย นั่งเรือเมล์สาย 2 ที่ Ferrovia ท่า D ไปลงท่า Rialto แล้วเดินต่ออีกนิดก็ถึง Rialto Market แล้ว
อันนี้ Rialto Bridge / สะพานริอัลโต ค่ะ เชื่อมเกาะ San Polo กับ San Marco เป็นสะพานแรกที่ใช้ข้าม Grand Canal โค้งสูง 7.5 เมตร สร้างครั้งแรกในปี 1181 และปรับปรุงหลายรอบ อย่างเช่นตอนนี้… ปิดตอนไหนไม่ปิด ปิดตอนที่เรามา เดี๋ยวปั๊ด!…
ข้ามสะพานแล้วเดินตรงมาไม่ถึง 10 นาที เจอแน่นอน Rialto Market ตลาดริอัลโตมี 2 โซน คือ โซน Erberia ขายผักผลไม้ และ โซน Pescheria ขายของสด ปลา ปลาหมึก กุ้ง หอย เปิดเช้า เที่ยงๆก็ปิดแล้ว อยากเห็นความคึกครื้นของคนที่นี่ต้องไปนะ <3
อันนี้เป็นเหมือนเครื่องเทศอบแห้งค่ะ เอาไว้โรยพวกข้าว สปาเก็ตตี้ พิซซ่า ช่วยให้อาหารหน้าตาน่ากินขึ้น
โซนเนื้อสัตว์กับอาหารทะเลก็สดไม่แพ้กัน
มาต่อกันที่ Ca’ Pesaro International Gallery of Modern Art จาก Rialto Market เดินย้อนขึ้นไปอีกประมาณ 500 เมตร ถึงเลย (ทางซอกแซก ป้ายบอกทางเล็ก สังเกตยาก หาไม่เจอยังไงถามคนแถวนั้นได้ค่ะ เขาเต็มใจตอบ บางคนพูดอังกฤษไม่ได้ก็บอกเป็นภาษามือ เสิร์ช Google Map ให้ คนที่นี่น่าร้ากกกกกกกกกกกกก)
ช่วงสาระน่ารู้วันนี้… Longhena สร้าง Ca’ Pesaro ในปี 1659-1682 พอเขาเสียชีวิต ครอบครัว Pesaro ซึ่งรวยมากๆ จ้างให้ Gian Antonio Gaspari สร้างต่อจนเสร็จในปี 1710 ต่อมาปี 1830 สมาชิกคนสุดท้ายของครอบครัว Pesaro เสียชีวิต ที่นี่ถูกขายต่อถึง 3 ครั้ง ก่อนจะถูกยกให้เป็นทรัพย์สินของเมืองเวนิสในปี 1898 ภายในเต็มไปด้วยงาน Fresco(ภาพเขียนบนกำแพงตอนที่ปูนยังไม่แห้ง) ภาพสีน้ำมัน และ Art Collection ที่ควรค่าแก่เข้าชม เปิด 10.00-18.00 น. ปิดวันจันทร์ ค่าเข้าชม 11 ยูโร แต่ถ้ามี Museum Pass ก็เข้าได้สบายๆ ใครอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมลิงก์นี้นะ http://capesaro.visitmuve.it/en/home/
เดินจาก Ca’ Pesaro ไปประมาณ 10 นาที มั่วบ้าง ถามทางบ้าง สุดท้ายก็เจอ โบสถ์ St. Maria Gloriosa dei Frari / Basilica dei Frari โบสถ์นี้เกี่ยวข้องกับเวนิสทางด้านศาสนามากที่สุดรองจากโบสถ์เซนต์มาร์คที่พวกเราไปวันแรก สร้างตั้งแต่ปี 1236-1338 และถูกปรับปรุงให้ยิ่งใหญ่ขึ้นในศตวรรษที่ 14 ข้างในทั้งสวย ทั้งดีงาม ไม่อยากให้พวกนายพลาดจริงๆนะ ที่นี่เปิด 10.00-17.00 น. ทุกวัน วันหยุดอาทิตย์ ค่าเข้า 3 ยูโร ไม่รวมใน Museum Pass หึ้ยยยยยยยยยย ; (
ออกจากโบสถ์ แวะทานมื้อเที่ยง แล้วสามคนพ่อลูกก็พุ่งตัวไปยังที่ต่อไปทันที! พวกเราเดินต่ออีก 600 เมตร ไปที่ Ca’ Rezzonico Palace (เท้าไม่ระบมให้มันรู้ไป)
เรียกง่ายๆที่นี่คือบ้านคนรวยที่ตกแต่งได้อลังการล้านแปด ตั้งแต่ของใช้เล็กๆอย่างจานชาม ชุดน้ำชา ของตั้งโชว์ ไปจนผนังห้อง ภาพวาด โคมไฟ มันยิ่งใหญ่ไปหมดดดดดด ห้องก็มีเยอะจนใช้เล่นซ่อนแอบได้เลย แต่จะหาเจอมั้ยนี่อีกเรื่อง : p
ประวัติคือ Giambattista Rezzonico นายทุนผู้ร่ำรวยซื้ออาคารหลังนี้เมื่อปี 1751 และจ้าง Griorgio Massari ศิลปินชื่อดังมาตกแต่งต่อเติมที่นี่จนเสร็จสมบูรณ์ในปี 1758 จนปี 1810 ไม่มีสมาชิกของครอบครัวนี้เหลืออยู่เลย ของต่างๆถูกขายไป และ Venice Town Council เข้าซื้อในปี 1935 ตอนนี้ Ca’ Rezzonico เปิดให้ชม 10.00-18.00 น. ทุกวันยกเว้นวันอังคาร ค่าเข้าปกติ 10 ยูโร audio guide 4 ยูโร แต่พวกเราไม่ปกติเพราะพวกเรามี Museum Pass วู้ววววว
เดินไปเรื่อยๆ จะเห็นว่าลายของเฟอร์นิเจอร์กับผนังแต่ละห้องเข้าชุดกัน
กระจกส่องหน้านี่ต้องทำกันขนาดนี้เลยหรอ *O*
ยัง ยังไม่หมดค่ะ บอกแล้ววันนี้เราเสพอาร์ตกันยาวๆ ที่ต่อไปคือ Peggy Guggenheim Collection ที่ที่สาวชาวอเมริกัน Peggy Guggenheim รวบรวมศิลปะจากลอนดอน ปารีส นิวยอร์ก ในช่วง 1938-1947 และของสะสมของเธอมาจัดแสดงตั้งแต่ปี 1980 Peggy เปิด 10.00-18.00 น. ทุกวัน ปิดวันอังคาร ค่าเข้า 15 ยูโร ไม่รวมใน Museum Pass นะจ๊ะ ค่า audio guide 7 ยูโร ถ้าอายุต่ำกว่า 26 ค่าเข้า 9 ยูโร ค่า audio guide 5 ยูโรค่ะ
เข้ามาข้างในแล้วนะ
อีกโซนหนึ่งเป็นร้านกาแฟ งานดีไซน์มามากๆ ขึ้นไปชั้น 2 ก็ยังเป็น Art Collection อยู่ค่ะ
โดยส่วนตัวชอบชิ้นนี้มากกกกกกกกก เป็นกุหลาบยักษ์ที่ทำจากกระดาษลังทั้งหมด
ที่สุดท้ายของวันเนนนนนนนนนนนนนนนน้ Santa Maria Della Salute / โบสถ์ซานตา มาเรีย เดลลาซาลูเต้ ระหว่างทางจะผ่านสะพาน Accademia แวะขึ้นไปถ่ายรูปกันได้ มุมนี้เป็นมุมประจำที่ใช้โปรโมทเวนิส มองไปเห็น โบสถ์ซานตา มาเรีย เดลลาซาลูเต้ สวยๆ หรือใครจะแวะพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Gallerie dell’ Accademia ก่อนก็ได้ไม่ว่ากัน แต่นี่ไม่ไหวแล้ว ตาแฉะแล้ว ขอเข้าโบสถ์ค่ะจุดนี้
โบสถ์ซานตา มาเรีย เดลลาซาลูเต้ เป็นโบสถ์สไตล์โบรอก ตั้งอยู่ปาก Grand Canal ทางทิศใต้ ก่อนจะออกสู่ทะเลสาบ สร้างในศตวรรษที่ 17 คนออกแบบคือ Baldassare Longhena ภายในโบสถ์มีภาพเขียนและประติมากรรมล้ำๆหลายชิ้น ปิดวันอาทิตย์ วันอื่นเปิด 9.00-12.00 น. และ 15.00-17.30 น. และข่าวดีสำหรับแบ็คแพ็คเกอร์ทุกคนคือ… เข้าฟรี!! เยยยยยยยยยยยยยย่!
จากท่า Salute (หน้าโบสถ์เลย) พวกเรานั่งเรือเมล์สาย1 กลับไปที่ Ferrovia แล้วขึ้นรถไฟจาก Venezia S. Lucia กลับ Venezia Mestre ค่ะ ยังเหลือพรุ่งนี้อีกวันหนึ่งนะทุกคนนนนนน ใจจจจจจจจสู้รึเปล่า? ไหววววววววววมั้ยบอกมา? นอนเอาแรงเยอะๆ แล้วพรุ่งนี้เราไปลุยกันต่อ เย้!
ที่แรกของวันสุดท้ายยยยยยยยยย คือ โบสถ์ Santa Maria dei Miracoli โบสถ์หินอ่อนสีเมเปิ้ล ต้นแบบของสถาปัตยกรรมยุคเรเนซองก์ค่ะ จาก Ferrovia ท่า D นั่งเรือเมล์สาย 2 ไป Rialto แล้วเดินต่อ 500 เมตรนะหนู โบสถ์นี้เปิดให้เข้าชมวันจันทร์-เสาร์ 10.00-17.00 น. ปิดวันอาทิตย์ ค่าเข้า 2.5 ยูโร ค่ะ นี่ก็ทำเป็นให้ข้อมูลเยอะเหมือนได้เข้าไป ความจริงคือยืนดูอยู่ข้างนอก ข้างในเขามีงาน TT กินแห้วอร่อยเลยยยยยยยย
เอาวะ ความหวังยังมี ไปต่อกันที่ Jewish Museum พิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ของชาวยิวค่ะ ที่นี่จัดแสดงเรื่องประวัติความเป็นมาของชาวยิวในเวนิส รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ งานศิลปะต่างๆ เปิด 10.00-19.00 น. ทุกวันยกเว้นวันเสาร์ ค่าเข้า 3-4 ยูโร ถ้าซื้อเป็น Guide Tour 8-10 ยูโร ใครที่ไม่ค่อยอินกับประวัติศาสตร์ไม่ต้องมาก็ได้นะ มิวเซียมหายากด้วย แต่ถ้าอยากลองดูข้อมูลเพิ่มเติมก่อนก็ลิงก์นี้เลย แปะไว้ให้ๆๆๆๆ http://www.museoebraico.it/english/museo.html ป.ล. ไม่มีรูปมาฝากนะ เขาไม่ให้ถ่ายยยยยยยยยย : (
ที่ต่อไปอยู่บนเกาะ San Marco เป็นสตูดิโอ painting, photography และ fashion design ชื่อ Fortuny Museum ค่ะ ปกติเขาเปิด 10.00-18.00 น. ทุกวัน ปิดวันอังคาร แต่นี่ไปวันศุกร์ดันปิด! ข้างในก็เปิดไฟอยู่นะทำไมไม่เปิด… ไม่ได้ค่ะ เราไม่ยอม เดินวนๆๆหาทางเข้า จนมีคนมาบอกว่าเขาปิดเพราะเตรียมจัดแสดงครั้งต่อไปอยู่ เปิดอีกทีเดือนหน้า( 4 มิ.ย. 59) ไอบ้าเอ้ย! ใครจะไปรู้ เอาเป็นว่าใครมีโอกาสได้ไปตอนมันเปิดแล้วถ่ายรูปสวยๆมาฝากเราด้วยน้า ค่าเข้า คนละ 12 ยูโร ต่ำกว่า 26 ปี 10 ยูโร นี่ลิงก์นะ http://fortuny.visitmuve.it/
ถ้าที่สุดท้ายนกอีกแม่จะกรี๊ดให้เกาะเวนิสสะเทือนเลยคอยดู55555555555 จาก Fortuny Museum เดินไป Grassi Palace/ Palazzo Grassi ประมาณ 5 นาทีเท่านั้นนนน เล่าให้ฟังขำๆ ตั้งแต่ครอบครัว Grassi ขายอาคารหลังนี้ในปี 1840 ที่นี่ก็เปลี่ยนเจ้าของมาหลายคน จนปี 2006 นักธุรกิจชื่อ Francois Pinault เข้าซื้อ ทำให้อาคารหลังนี้กลายเป็น Art Collection (Contemporary Art) ติดอันดับ 1 ใน Art Collection ที่ใหญ่ที่สุดในโลก!
แกร ตาฉันไม่ได้ฝาดใช่มะ ไฟมันเปิดอยู่ใช่มะ มันมีคนเดินเข้าไปใช่ม้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!??? ดีใจยิ่งกว่าถูกหวย ไปๆๆๆๆ เราเข้าไปดูข้างในกันเลยดีกว่า ค่าเข้า 15 ยูโร ไม่รวมใน Museum Pass ค่ะ ที่นี่เปิด 10.00-19.00 น. ทุกวัน ปิดวันอังคารวันหนึ่งนะ
ออกจาก Grassi Palace เรากับพี่ชายก็พาพ่อไปทำภารกิจสุดท้ายในเวนิส นั่นคือการนั่งกินอาหารดีๆใน Restaurant ค่ะ พวกเรานั่งเรือเมล์จากท่าเรือหน้า Grassi Palace กลับไปที่ Ferrovia เดินหาร้านที่เข้าตา แล้วนั่งเลย ถึงมื้อนี้จะแพงกว่ามื้ออื่นๆถึง 3 เท่าแต่ก็ถือว่าคุ้ม ได้ทั้งรสชาติและบรรยากาศอีกแบบของเวนิส <3
สายๆของวันที่ 7 พวกเราออกจากที่พักไปขึ้นรถไฟที่ Venezia Mestre เพื่อไปเที่ยวต่อที่มิลานค่ะ ถึงหลังจะปวด เท้าจะระบม แต่เราก็ไม่ท้อเพราะได้เห็นคุณพ่อยิ้ม <3 หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์และแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคนที่อยากไปเที่ยวเวนิสหรืออยากไปเที่ยวกับพ่อแม่ ทริปนี้เราใช้กล้อง Canon eos 750d ใครมีคำถามอะไร inbox มาได้เลยในเพจ Bliss Out There https://www.facebook.com/BlissOutThere/?fref=ts ไม่มีอะไรถามจะทักมาขำๆก็ได้ เราเหงา55555555 สุดท้ายแปะลิงก์ 10 อย่างที่อยากให้ทำเมื่อไปเที่ยวเวนิส ไว้ให้นะ เผื่อใครอยากอ่านสั้นๆ https://www.facebook.com/BlissOutThere/posts/282652752071595 ขอบคุณที่ติดตามและสนับสนุนกันค่ะ คราวหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหน ติดตามได้ใน www.blissoutthere.com น้า