หยุดเสียใจเพราะคนขี้หลี เลิกร้องไห้เพราะซีรีย์เกาหลี เว้นการกินส้มตำแซ่บอีหลี ให้ธรรมชาติกอดที่”เกาะบาหลี”
อย่าเพิ่งคิดว่าโอ้ยยยยย ไอคนเขียน บ้ารึเปล่าาาาาาา แค่4วัน3คืนจะไปได้สักกี่ที่เชียว… เพราะมันไปได้เยอะอยู่นะ เวลาเท่านี้พวกนายสามารถเก็บความดีงามบนเกาะบาหลีได้ร้อยละ 85เลยทีเดียว ส่วนอีกร้อยละ15ที่เราไม่ได้ไป เราก็ได้รวบรวมข้อมูลมาให้พวกนายเรียบร้อยแล้ว แหมะ ง่ายดายขนาดนี้พวกนายจะรออะไรอีกกกกกก ไปปปปๆๆๆๆ
ก่อนไปก็ต้องมีความรู้กันสักกะนิดสักกะหน่อย…ใจกลางของบาหลีอยู่ที่เมืองเดนปาซาร์(denpasar)ค่ะ เกาะบาหลีเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอินโดนีเซีย เพื่อนบ้านของพี่ไทยเรานั่นเอง เพราะฉะนั้นเรื่องความร้อนชื้นไม่ต้องพูดถึง ความร้อนอาจจะสูสี แต่ความชื้นต้องยอมให้พี่บาหลีเขาจริงๆค่ะ บาหลีมีทั้งหมด3ฤดู ช่วงที่ฟ้าโปร่ง อากาศเย็นสบายเหมาะจะไปเที่ยว คือช่วงเดือนพฤษภาคม-เดือนกรกฎาคมค่ะ ส่วนช่วงเดือนตุลาคม-เดือนมีนาคมเป็นช่วงหน้าฝน ซึ่งเราก็ไปช่วงนี้มา ข้อดีคือราคาตั๋วเครื่องบินจะถูก ข้อเสียคือจะออกไปไหนต้องพกร่มไปด้วยค่ะ ส่วนช่วงที่ไม่ควรไปเลยคือเดือนธันวาคมและเดือนมกราคม เพราะฝนนี่ตกกันแบบหนักหน่วง ขนาดที่คนบาหลีเองก็ยังไม่อยากออกจากบ้านไปไหนเลยนะจะบอกให้
คนบาหลีนับถือศาสนาฮินดู เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ และที่สำคัญคือ คนที่นี่รักน้ำบูชาน้ำค่ะ ทุกการกราบไหว้ การสักการะ การพักผ่อน และการเอ็นเตอร์เทน เกี่ยวข้องกับน้ำทั้งหมด ได้ไปเห็นอะไรอย่างนี้ก็ช่วยคลายความร้อนให้คนไทยอย่างพวกเราได้เยอะเหมือนกัน และสำหรับใครที่ฝันอยากจะเป็นเศรษฐีเงินล้านนะคะ คุณได้เป็นแน่นอนค่ะถ้าคุณไปที่นี่ เพราะสกุลเงินที่ใช้ที่นี่คือรูเปียห์ของอินโดนีเซีย 1บาทเท่ากับ395หรือเกือบ400รูเปียห์ 10,000รูเปียห์ประมาณ25บาท 50,000รูเปียห์ประมาณ130บาท แหมะ โม้เพื่อนได้เลยว่ากินข้าวจานละห้าหมื่น นอนโรงแรมคืนละสี่แสน(1,000บาท) อย่างคูล อย่างคูล
วันแรกพอถึงบาหลีปุ๊ป เราพุ่งตรงจากสนามบินไปที่ที่พักเลยค่ะ แนะนำว่าพอถึงสนามบินแล้วให้เดินออกมาหน่อย มาเรียกรถแท็กซี่ข้างนอกเอา เพราะแท็กซี่ในสนามบินนี่ขี้โกง โก่งราคามากค่ะ แล้วจะตามตื๊อมากๆๆๆ ตื๊อๆๆๆ บอกไม่เอาๆๆๆก็ไม่เลิกตื๊อค่ะ แฟนเรายังไม่ตื๊อเราขนาดนี้เลย…เดี๋ยว…มีแฟนหรอปิง?…ไม่…โอเคผ่านไป ตัดมาตอนถึงที่พักค่ะ5555555555555 เราพักที่โรงแรมชื่อ The Bene Kuta hotel คือดีงามมากกกกกกกกกกก คุ้มค่าคุ้มราคาค่ะ โรงแรมนี้อยู่ห่างจากหาดกูตา หาดที่ป๊อปปูล่าที่สุดบนเกาะบาหลีเพียง200เมตรเท่านั้น นอกจากราคาย่อมเยาว์(1,000-1,900บาทต่อคืน) ห้องพักดี บริการดี มีสปาในโรงแรม มีพนักงานที่เป็นมิตรและเม้าท์เก่งมากๆแล้ว ตรงข้ามโรงแรมยังมี tourism information center สะดวกสบายกว่านี้ไม่มีอีกแล้วค่ะ
ขออธิบายก่อนว่า tourism information centerบนเกาะบาหลีมันดียังไง มันจะเป็นเหมือนบูธเล็กๆที่มีอยู่ทั่วเกาะค่ะ นอกจากจะให้คำแนะนำเรื่องการท่องเที่ยวบนเกาะแล้ว ยังมีบริการรับจ้างขับรถพาเที่ยว ซึ่งอยู่ที่นั่นสี่วันเราจ้างสี่วันเลยค่ะ คือเขาจะขับรถ(ซึ่งเป็นรถส่วนตัวของเขา)พาเราไปสถานที่ต่างๆที่เราแพลนไว้ และช่วยจัดตารางเที่ยวให้เรา ว่าแต่ละที่ที่เราอยากไปอันไหนอยู่ใกล้อันไหน ไหนอันควรไปวันเดียวกัน พาไปกินอาหารพื้นเมืองเด็ดๆ ที่สำคัญคนบาหลีพูดอังกฤษคล่องทุกคนค่ะ สื่อสารกันรู้เรื่อง ไม่มีนั่งเงียบนั่งมึนแน่นอน เราสงสัยหรืออยากรู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวเขาก็ตอบเราได้หมดค่ะ เรียกกว่าเป็นไกด์ส่วนตัวเลยก็ว่าได้ ส่วนเรื่องราคาเขาจะคิดไม่เป็นวันก็เป็นชั่วโมงค่ะ อย่างเช่น8-10ชั่วโมง คิดเป็นเงินไทยประมาณ1,000บาท เต็มวัน1,500บาท ถ้ามากัน4-5คน หารกันก็โอเคเลย นี่เป็นราคาที่เราต่อรองกับเค้าแล้วนะคะ ยังไงถ้าใครจะไป เรามันใจว่าคนไทยมีความสามารถทางด้านนี้อยู่แล้ว เอาออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ค่ะ55555555555555
ส่วนการเดินทางด้วยวิธีอื่นก็มี จะไปรอขึ้นบัสเป็นรอบตามจุดต่างๆรอบเกาะก็ได้ หรือจะนั่งสองแถวไปลงแต่ละที่ก็ได้ แต่สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่ไกลออกไปก็จะลำบากหน่อยค่ะ
กว่าจะเช็คอินที่พัก ตกลงเรื่องจ้างคนขับรถเสร็จก็ปาไป11โมงแล้ว พอออกจากที่พักพี่เอ็ดดี้(ชื่อคนขับรถของเรา)แกก็พาพวกเราตรงไปกินมื้อเที่ยงเลยค่ะ เป็นอาหารพื้นเมืองของบาหลี ซึ่งมันอร่อยแบบบรมมมมมมม ขออภัยที่จำชื่อเมนูไม่ได้ แต่เอารูปมาฝากกัน ถ้าใครไปก็เปิดรูปนี้ถามคนบาหลีเลยนะ55555555555555 เติมพลังกันก่อนค่ะ วันนี้ยังต้องไปต่อกันอีกยาว
มาถึงแล้วค่ะที่แรก “Bajra Sandhi Monumen” พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ภายในจัดแสดงภาพจิตรกรรมเกี่ยวกับความเป็นมาของเกาะบาหลี สถาปัตยกรรมและประติมากรรมแบบบาหลีค่ะ ก็ถือว่าปูพื้นฐานความรู้ก่อนจะไปเที่ยวที่อื่นละกัน สำหรับเราที่นี่ไม่มีอะไรมาก แต่สำหรับคนบาหลีที่นี่ถือเป็นอนุสาวรีย์เสรีภาพของพวกเขาเลยแหละ
มาต่อกันที่ “วัดทามัน อายุน หรือ Pura Taman Ayun”ค่ะ Puraแปลว่าวัดหรือวิหารนะคะ บอกกันไว้ก่อนเพราะหลังจากนี้คงเจอคำนี้บ่อยๆ วัดทามัน อายุน เป็นวัดที่สวยงามติดอันดับ 1ใน6 ของวัดบาหลี เคยได้รับรางวัลมรดกโลก UNESCOเมื่อปี 2012 จุดเด่นอยู่ที่หลังคาทรงเมรุหลายชั้น และสระน้ำที่ล้อมรอบวัดค่ะ วัดนี้เป็นวังเก่าสร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษ ที่ 17 ใช้เพื่อประกอบพิธีกรรมของกษัตริย์ราชวงศ์เม็งวี…เป็นไง ปวดหัวกันล่ะสิ เข้าเรื่องจริงจังวิชาการหน่อยไม่ได้ ปวดหัวกันเลยนะ เอาเป็นว่าถ้าพวกนายไปที่นี่ก็จะได้เห็นงานประติมากรรม สถาปัตยกรรม และการละเล่นการแสดงต่างๆที่บาหลีสุดๆ มาแล้วอินกันสุดๆไปเลยยยยย ท้องฟ้าอาจจะขุ่นๆ แต่รูปสวยถูกใจพวกนายแน่นอน ไปชมกันเลยไป
เออ ลืมบอกไปค่ะว่าวัดที่บาหลีทุกวัดเขาซีเรียสเรื่องการแต่งกาย ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายเขาไม่ให้ใส่ขาสั้น แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะทุกวัดจะอำนวยความสะดวกให้พวกเราด้วยผ้าคลุมหรือโสร่ง บางวัดก็คิดเงิน บางวัดก็ให้บริจาคตามศรัทธาค่ะ
ปิดท้ายวันแรกที่ “วิหารทานาห์ลอต หรือ Pura Tanah Lot” อีกหนึ่งแลนมาร์คของบาหลีที่ถ้าใครจะไปนี่ห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะนอกจากพวกนายจะได้เห็นวิวสวยๆอย่างวิหารที่สร้างยื่นลงไปในทะเลแล้ว อีกหนึ่งความดีงามที่พวกนายจะได้เห็นคือนักเล่นเซิฟ(อันนี้สำหรับผู้หญิงค่ะ55555555) เพราะบริเวณนี้ติดกับมหาสมุทรอินเดีย ทำให้มีคลื่นสูงและแรงเหมาะแก่การโชว์ลีลาเล่นเซิฟสุดคูล ขอแทรกความรู้นิดนึงงงง นิดเดียวจริงๆ ไม่โกรธกันๆๆ วิหารนี้สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่16 นักบวชฮินดูสร้างที่นี่เพื่ออุทิศแด่เทพเจ้าและปีศาจแห่งท้องทะเลค่ะ วันแรกเอาพอหอมปากหอมคอพอเนอะ ไปพักผ่อนกันดีกว่า
ตื่นนนนนนนนนนนนนนนน ตื่นๆๆๆๆๆ เวลามาเที่ยวนี่สำคัญและมีค่าทุกนาทีนะฮะ จะมาหลับยาวโดนเตียงดูดไม่ได้ๆๆๆ เจ๊งกันพอดี ที่แรกที่เราจะพาพวกนายไปในวันที่สองนี่ถือว่าเป็นที่โปรดของเราที่นึงเลย ชื่อภาษาไทยว่า “วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์” หรือชื่อภาษาบาหลีว่า “Pura Tirta empul(ปูราเตียร์ตาอัมปีล)” วัดนี้ก็เหมือนกับทุกวัดค่ะ…อย่าเพิ่งคิดในใจว่าอ้าวเหมือนทุกวัดละจะพามาทำส้นอะไร เราหมายถึงก่อนเข้าไปในวัดพวกนายต้องนุ่งโสร่งก่อนนนนนนนนน เหมือนวัดอื่นๆไงงงงงงงงงง แหมะ ใจร้อนกันเหลือเกินนะ
วัดนี้อยู่ในเมืองเล็กๆที่ชื่อว่าทัมปักสิริง(tampak siring) เปิด8โมงเช้าถึง4โมงเย็นค่ะ ค่าเข้าคนละ15,000รูเปียห์หรือประมาณ40บาท ชาวบาหลีเชื่อว่าพระอินทร์เป็นผู้สร้างวัดนี้ ภายในวัดก่อนเข้าสู่บริเวณน้ำพุศักดิ์สิทธิ์จะมีศาลาสำหรับสักการะ ศาลให้เทพเจ้าสิงสถิต และวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่แบ่งเป็นชั้นๆตามความสำคัญ(ชั้นที่อยู่ในสุดคือศักดิ์สิทธ์ที่สุด) พอเข้าไปในบริเวณน้ำพุศักดิ์สิทธิ์แล้วจะเห็นคนบาหลีลงไปอาบน้ำและถวายเครื่องบูชาเทพเจ้าประจำสระ เพราะพวกเขาเชื่อว่าน้ำที่ไหลออกมาจากท่อเหล่านี้บำบัดโรคได้ และช่วยชำระสิ่งไม่ดีออกไปชีวิตค่ะ คนไทยคนไหนใจถึงก็ลงไปอาบกับเขาได้ไม่ว่ากัน
เดินลึกเข้าไปจากบริเวณน้ำพุศักดิ์สิทธิ์จะเจอสระมรกตขนาดใหญ่อีกสระนึง ภายในสระมีปลาคาร์ฟหลายสีหลายลาย เห็นแล้วตาลายจริงๆค่ะ555555555 ล้อเล่นๆ เห็นละสบายตาสบายใจค่ะ อยากจะนั่งแช่อยู่ตรงนั้นทั้งวัน ข้างสระมีร้านขายขนมปังและอาหารปลาให้นักท่องเที่ยวซื้อมาให้ปลากินได้ สรุปเลยละกันว่าถ้าได้ไปวัดนี้จะเข้าใจเลยว่าคนบาหลีกับน้ำเขาผูกพันกันขนาดไหน ในวัดนี้มีแต่ภาพชุ่มชื้นสายตาค่ะ
ที่ที่สองของวันนี้เป็นวัดฮินดูเช่นเคยฮะ ดีงามไม่แพ้วัดอื่นๆแน่นอน ชื่อว่า “วัดอูลันตานูบาตูร์” เป็นวัดใหญ่แต่ไม่ชัยมงคล อันนั้นของบ้านเรา อย่าๆๆๆๆไม่ตลกๆๆ วัดนี้เป็นศิลปะแบบเดียวกับนครวัด นครธมที่เขมร วัดนี้อยู่ในที่สูง มีหมอกปกคลุมทั่ววัดค่ะ
ที่ต่อไปต้องบอกก่อนว่าเป็นสถานที่ที่ทำให้เราเสียน้ำตาค่ะ
เพราะตอนที่ไปถึงแล้วได้เห็นสถานที่แห่งนี้มันสวยมากจริงๆ มากแบบมากแบบมากจริงๆ
อยากให้ทุกคนได้ไปโดน มันชื่อว่า “หมู่บ้านคินตามณี หรือ Kintamani village” ค่ะ
เป็นหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างจากเมืองเดนปาซาร์ประมาณ50กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง2ชั่วโมง สิ่งที่ทำให้ที่นี่อะเมซิ่งก็คือภูเขาไฟกุนุงบาตูร์และทะเลสาบบาตูร์ที่เป็นทิวทัศน์ของหมู่บ้านแห่งนี้ค่ะ ภูเขาไฟลูกนี้ยังไม่สงบนะคะ ยังสามารถปะทุได้ทุกเมื่อ เคยปะทุมาแล้ว24ครั้ง ครั้งล่าสุดเมื่อ40กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นพอรู้ข้อมูลเราก็กลัวเหมือนกัน คิดในใจว่าครั้งที่25อย่ามาเกิดกับเราเลยน้า เรามาเที่ยวเฉยเฉ้ยยยยยยยยยยย ขอกลับบ้านเกิดอย่างปลอดภัยนะพี่ภูเขาน้า แต่ยิ่งได้มองความกลัวมันยิ่งหายไปค่ะ ใจมันจะคิดแต่ว่าทำไมมันสวยขนาดนี้วะ ทำไมเราได้มาเห็นอะไรอย่างนี้วะ แล้วบนโลกนี้มีที่มหัศจรรย์แบบนี้อีกกี่ที่วะ ธรรมชาติคือที่สุดแล้วว่ะ แล้ววันนี้มันจะปะทุเป็นครั้งที่25มั้ยวะ…
นักท่องเที่ยวและนักเดินทางจะมาที่นี่เพื่อทานอาหารกลางวันพร้อมชมวิวเก็บบรรยากาศอย่างที่บอกไป มีร้านอาหารให้เลือกหลายร้านค่ะ ส่วนใหญ่เป็นร้านบุฟเฟ่ต์ ราคาคนละ50,000-60,000รูเปียห์ เข้าร้านไปเลือกที่นั่งแจ่มๆ ลุกไปตักของกิน แล้วกลับมานั่งกินไปดูวิวไป สุดดี สุดชิว สโลไลฟ์สุดสุดกันไปเลย
หลังอิ่มจากอาหารปากและอาหารตากันแล้วก็ไปพักถ่ายรูปเล่นกันหน่อยฮะ ใครชอบสีเขียวบอกเลยว่าที่นี่ตอบโจทย์มาก เขียวขจี เขียวอื๋อ เขียวจนขมคอที่ “นาขั้นบันได Tegalalang rice terrace view” เป็นทางผ่านตอนลงจากหมู่บ้านคินตามณี สวยงามเอาเรื่อง
แต่สำหรับใครที่พอมีเวลาแนะนำให้ไปอีกที่หนึ่งชื่อ “Jatiluwin”เป็นนาขั้นบันไดที่ใหญ่ที่สุดในบาหลี ใหญ่กว่าอันที่เราไปเกือบสามเท่าค่ะ แต่ถ้าไปก็ระวังกลับมาอาจจะเอียนสีเขียวได้ค่ะทุกคน
ที่สุดท้ายของวันนี้ ขอเอาใจคนรักกาแฟกันหน่อย เคยได้ยินกันมั้ยฮะกาแฟขี้ชะมด กาแฟไฮโซราคาแพง ที่ได้จากการเอาเมล็ดกาแฟให้ตัวชะมดกิน หลังจากชะมดอึออกมาก็นำเมล็ดกาแฟไปทำความสะอาดแล้วนำมาคั่ว กาแฟที่ได้จะหอมเป็นเอกลักษณ์จากกรดในท้องชะมด(คนเรานี่ก็แปลกนะ ช่างสรรหาวิธีไปเรื่อย) เราจะพาไปชิมกาแฟขี้ชะมดที่ “coffee plantation” อยู่บนเส้นทางที่ลงมาจากหมู่บ้านคินตามณีเช่นกันค่ะ ที่coffee plantation เขาจะพาคุณชมส่วนผสมต่างๆของกาแฟที่เขาปลูกขึ้นเอง ก่อนที่จะพาไปชิมกาแฟค่ะ กาแฟขี้ชะมดราคาแก้วละ50,000รูเปียห์หรือประมาณ130บาท คิดซะว่าลองซื้อสตาบัคเมนูใหม่สักแก้วก็จะช่วยให้รู้สึกคุ้มค่าได้ ที่สำคัญหลังจากสั่งกาแฟขี้ชะมด พวกนายสามารถชิมเครื่องดื่มอื่นๆได้ ฟรี! อย่างเช่น กาแฟโสม กาแฟขิง กาแฟโกโก้ กาแฟบาหลี กาแฟมะพร้าว กาแฟกระเจี๊ยบ รสชาติแต่ละอันก็แล้วแต่คนจะชอบเลยค่ะ หลังจากกินเสร็จจ่ายเงินแล้วใครสนใจจะซื้อกาแฟกลับมาชงกินที่ไทยหรือซื้อเป็นของฝากที่นี่เขาก็มีขาย มีpackagingให้เลือกเยอะแยะค่ะ
เป็นไงกันมั่งสองวันแรก ธรรมชาติสุดๆไปเลยมั้ย หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเราไม่พาไปสถานบันเทิงหรือย่านกลางคืนมั่ง จริงๆใครที่ชอบปาร์ตี้หรือนั่งชิลริมทะเลที่บาหลีนี่มีเยอะแยะนะ แล้วก็มีร้านหลายแบบ คงโดนใจใครหลายคน โดยเฉพาะหาดกูตาที่ใกล้ที่พักเรา แต่ทริปนี้ไม่ได้มีแค่วัยรุ่นค่ะ มีคุณพ่อด้วย ต้องให้เกียรติกันนิดนึง555555555 อีกอย่างร่างกายก็เหนื่อยล้าเพราะเดินทางเยอะ เช้าวันที่สามนี่มันอากาศเย็นสบายน่านอนจริงๆ เตียงที่โรงแรมนี่ก็ไม่รู้จะนุ่มไปไหน ลุกยากลุกเย็นซะเหลือเกิน แต่ไม่ได้เลยวันนี้ ที่แรกที่เราจะไปนี่เขามีตารางฟิคไว้ตายตัว ยังไงก็ต้องพยุงตัวขึ้นมาให้ได้ฮะ ล้างหน้าล้างตาแล้วไปลุยวันที่สามกันเล้ยยยยยยยยยย
วันนี้นะคะขอประเดิมด้วยของสวยๆงามๆอย่างการชมศิลปะการแสดง “บารองแดนซ์ (Barong dance)” ฝรั่งมาเมืองไทยแล้วต้องมาดูรำไทยฉันใด ก็เหมือนพวกนายจะไปบาลีต้องไปดูบารองแดนซ์ฉันนั้น สถานที่จัดแสดงบารองแดนซ์มีอยู่หลายที่ทั่วเกาะบาหลี แต่ที่ที่เราไปดูมาเป็นที่ที่พีคที่สุด คือที่หมู่บ้านหัตถกรรม Batubalan จะจัดแสดงเป็นประจำทุกวันตอน 9โมงครึ่ง แสดงในโรงละครแบบ open air ค่าเข้าชม100,000รูเปียห์หรือประมาณ250บาท ใช้เวลาประมาณ 1ชั่วโมง บารองคือสัตว์ประหลาดศักดิ์สิทธิ์หน้าเหมือนสิงโตจีนที่คนบาหลีนับถือ เรื่องที่เขาแสดงก็ประมาณว่า บารองต่อสู้กับแม่มดร้ายเพื่อปกป้องกษัตริย์ของบาหลี นั่นแหละ ไม่เล่าละ เล่าแล้วเดี๋ยวไม่ไปดูกัน 555555555 บางคนอาจจะชอบบางคนอาจจะไม่ชอบ แต่เราว่าดูแล้วก็ได้เห็นศิลปวัฒนธรรมของเขาดี คนเล่นก็เล่นดี เอ็นเตอร์เทนใช้ได้อยู่นะ ป.ล.ต้องขอประทานโทษที่ถ่ายรูปมาติดหัวเหน่งของคุณคนนึง พยายามแล้ว ทำได้เท่านี้จริงๆค่ะ
มาต่อกันที่ทะเลสุดชิคที่หลบหลีกจากความวุ่นวายไปอยู่หลังเขาอย่าง “หาดพันดาวา หรือ Pandawa Beach” เป็นอีกหาดนึงที่พวกนายมาถ่ายรูป เดินชิว กินลมชมวิวได้ สวยงามเอาเรื่อง แต่อากาศก็ร้อนเอาเรื่องเหมือนกันค่ะ สิ่งที่ดีงามในหาดนี้คงเป็นหน้าผาสีครีมปนน้ำตาลอ่อนที่ทอดยาวตามแนวหาด เห็นละได้ฟีลนักเดินทางจริงๆ
หลังจากนั้นเป็นอีกหาดนึงในบาหลี ซึ่งเราจำชื่อไม่ได้ พยายามหาข้อมูลแล้วก็หาไม่เจอ มันอยู่นอกตัวเมืองเลยค่ะ ไกลนิดนึงแต่สวยมากกกกกกกกกกกกกกก น้ำใสจริงไรจริง ใสกว่านี้ก็อากาศแล้วค่ะ! ในหาดนี้จะมีเกาะเล็กๆอยู่ สามารถเดินขึ้นไปชมวิวของทะเลจากบนเกาะนี้ได้ค่ะ มองลงมาจะเห็นพื้นน้ำกว้างกว้างงงงงงงงงงงงงงงง สีน้ำเงิน สีฟ้าหลายเฉดสลับกันไป ลมแรงๆปะทะใบหน้า ความรู้สึกดีๆแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆค่ะ เก็บเกี่ยวให้มากที่สุด หวังว่าเอารูปสวยๆมาง้อพวกนายที่เราจำชื่อหาดไม่ได้ อย่างอนกันน้า
เมื่อเช้าเราดูคนกันไปแล้ว เย็นนี้เรามาดูลิงกันหน่อย ที่ “ป่าลิงอุบุด” มีลิงแสมกว่า 600ตัว และต้นไม้กว่า100สายพันธุ์ ลิงที่นี่เป็นมิตรค่ะ ไม่กลัวคน แต่มันก็ซุกซน ต้องระวังดีๆมันอาจจะฉกเอาของมีค่าของพวกนายไปได้ง่ายๆ
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรานะฮะ แป๊ปเดียวก็วันสุดท้ายแล้ว วันนี้ขอตารางแบบเบาๆชิวๆและกัน เผื่อเวลาขึ้นเครื่องกันด้วยนะฮะ อยู่มาสามวันยังไม่ได้ไปเลยหาดกูตา ใกล้โรงแรมแค่นี้เอง เช้าวันสุดท้ายเลยขอออกไปสูดอากาศสดชื่นๆกันหน่อย จุดเด่นของหาดกูตานอกจากจะเป็นหาดทรายขาววววววววว ยาวววววววววถึง8กิโลเมตรแล้ว ยังเป็นที่รวมตัวของนักโต้คลื่น ติดอันดับหาดเล่นเซิฟ1ใน5ของโลกเลยทีเดียว ที่หาดนี้มีคลื่นหลายระดับ เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเล่นเซิฟค่ะ ที่หาดมีทั้งให้เช่ากระดานโต้คลื่นและจ้างครูฝึกสอน ราคาก็โอเคสบายกระเป๋า
ไปต่อกันเลยที่ “Cultural park หรือศูนย์วัฒนธรรมบาหลี” สำหรับวัยรุ่นทั้งหลายพวกนายอ่านที่นี่ข้ามๆก็พอ อาจจะไม่โดนใจกัน เพราะมันก็ไม่โดนใจเราเท่าไหร่ ที่นี่เจาะเขาทั้งลูกทำเป็นสวนขนาดใหญ่ ข้างในมีพิพิธภัณฑ์ อนุสาวรีย์พระนารายณ์ทรงครุฑ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และการแสดงพื้นเมือง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ที่รัฐบาลบาหลีอยากทำเป็นโปรเจคใหญ่ แต่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ มันก็เลยดูแบบ สร้างตรงนู้นหน่อย ตรงนี้หน่อย ไม่มีอะไรเสร็จสมบูรณ์ ยังไม่คุ้มค่ากับค่าเข้าชม60,000รูเปียห์ฮะ
มาถึงจนได้ “อูลูวาตู หรือ Pura Uluwatu” ที่สุดท้ายในบาหลี จะบอกลากันทั้งที่มันต้องเป็นที่ที่พีคและน่าจดจำหน่อยเว้ย วัดนี้ถูกสร้างบนหน้าผาที่อยู่ริมทะเล สูงชันกว่า70เมตร ที่สำคัญวัดนี้เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดบนเกาะบาหลี สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่11 ไม่แช่แค่วิวสวยๆตรงหน้าเท่านั้นที่พวกนายจะได้เห็น มองลงไปในทะเลสีฟ้าสดของคลื่นก็ดีงามไม่แพ้กัน แต่สิ่งที่ต้องระวังเลย คือ ลิงที่นี่ค่อนข้างเยอะและซุกซนค่ะ
หมดเวลาแล้ว4วัน3คืน ทำไมมันช่างผ่านไปรวดเร็วอย่างนี้ อย่างที่เขาว่า ความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ทริปนี้อาจจะไม่ได้ฮิปปี้อินดี้คูลเคออะไรมาก แต่เรามั่นใจมากว่าบาหลีเป็นที่ที่ช่วยเยียวยาใครหลายๆคนได้ เป็นที่นึงเลยที่ให้เรากลับไปอีกกี่ครั้งเราก็จะไป หายากนะที่ที่คนอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างลงตัวแล้วไม่มีใครขออะไรมากกว่านี้แล้ว ที่บาหลีไม่มีรูฟท๊อป อยู่สี่วันไม่เห็นลิฟท์แก้ว บีทีเอสหรือเอ็มอาร์ทีก็ไม่มี แต่คนบาหลีทุกคนที่เราเจอดูมีความสุข ยิ้มแย้ม เป็นมิตร และดูเต็มอิ่มกับชีวิตแล้ว ถ้าพวกนายมองหาที่พักกายพักใจนอกประเทศอยู่ล่ะก็ รับบาหลีไว้พิจารณาด้วยแล้วกัน